พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
#ผู้เจริญมรรคมีองค์แปดมิอาจสึกไปเป็นคฤหัสได้
นทีสูตร
ไม่มีผู้สามารถให้ผู้เจริญอริยมรรคกลับเป็นคนเลวได้
[๒๙๖] สาวัตถีนิทาน. พระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
แม่น้ำคงคาไหลไปสู่ทิศปราจีน หลั่งไปสู่ทิศปราจีน บ่าไปสู่ทิศปราจีน ครั้งนั้น หมู่มหาชนพา
กันถือเอาจอบและตะกร้ามาด้วยประสงค์ว่า พวกเราจักทำการทดแม่น้ำคงคานี้ให้ไหลกลับ ให้
หลั่งกลับ ให้บ่ากลับ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน หมู่มหาชน
นั้นจะพึงทำการทดแม่น้ำคงคาให้ไหลกลับ ให้หลั่งกลับ ให้บ่ากลับ ได้ละหรือ?
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ไม่ได้ พระเจ้าข้า.
พ. ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร.
ภิ. เพราะแม่น้ำคงคาไหลไปสู่ทิศปราจีน หลั่งไปสู่ทิศปราจีน บ่าไปสู่ทิศปราจีน
การที่จะทำการทดแม่น้ำคงคาให้ไหลกลับ ให้หลั่งกลับ ให้บ่ากลับ มิใช่กระทำได้ง่าย แต่เป็น
การแน่นอนว่า หมู่มหาชนพึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความลำบากยากแค้น แม้ฉันใด.
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระราชา มหาอำมาตย์ของพระราชา มิตร สหาย หรือญาติ
สาโลหิต จะพึงเชื้อเชิญภิกษุผู้เจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ผู้กระทำให้มากซึ่งอริยมรรค
อันประกอบด้วยองค์ ๘ ด้วยโภคะทั้งหลาย เพื่อนำไปตามใจว่า ดูกรบุรุษผู้เจริญ เชิญท่านมาเถิด
ท่านจะนุ่งห่มผ้ากาสายะเหล่านี้ทำไม? ท่านจะเป็นคนโล้นถือกระเบื้องเที่ยวไปทำไม? ท่านจงสึก
มาบริโภคโภคะและกระทำบุญเถิด ภิกษุผู้เจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ผู้กระทำให้มาก
ซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ นั้น จักลาสิกขาสึกออกเป็นคฤหัสถ์ ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมี
ได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะว่าจิตที่น้อมไปในวิเวก โน้มไปในวิเวก โอนไปในวิเวก
ตลอดกาลนานนั้น จักสึกออกมาเป็นคฤหัสถ์ ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้.
[๒๙๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ย่อม
กระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ อย่างไรเล่า? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรม
วินัยนี้ ย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ ฯลฯ
ย่อมเจริญสัมมาสมาธิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุย่อมเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ย่อมกระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอัน
ประกอบด้วยองค์ ๘ อย่างนี้แล.
จบ สูตรที่ ๑๕
จบ พลกรณียวรรค
นทีสูตร
ไม่มีผู้สามารถให้ผู้เจริญอริยมรรคกลับเป็นคนเลวได้
[๒๙๖] สาวัตถีนิทาน. พระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
แม่น้ำคงคาไหลไปสู่ทิศปราจีน หลั่งไปสู่ทิศปราจีน บ่าไปสู่ทิศปราจีน ครั้งนั้น หมู่มหาชนพา
กันถือเอาจอบและตะกร้ามาด้วยประสงค์ว่า พวกเราจักทำการทดแม่น้ำคงคานี้ให้ไหลกลับ ให้
หลั่งกลับ ให้บ่ากลับ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน หมู่มหาชน
นั้นจะพึงทำการทดแม่น้ำคงคาให้ไหลกลับ ให้หลั่งกลับ ให้บ่ากลับ ได้ละหรือ?
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ไม่ได้ พระเจ้าข้า.
พ. ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร.
ภิ. เพราะแม่น้ำคงคาไหลไปสู่ทิศปราจีน หลั่งไปสู่ทิศปราจีน บ่าไปสู่ทิศปราจีน
การที่จะทำการทดแม่น้ำคงคาให้ไหลกลับ ให้หลั่งกลับ ให้บ่ากลับ มิใช่กระทำได้ง่าย แต่เป็น
การแน่นอนว่า หมู่มหาชนพึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความลำบากยากแค้น แม้ฉันใด.
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระราชา มหาอำมาตย์ของพระราชา มิตร สหาย หรือญาติ
สาโลหิต จะพึงเชื้อเชิญภิกษุผู้เจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ผู้กระทำให้มากซึ่งอริยมรรค
อันประกอบด้วยองค์ ๘ ด้วยโภคะทั้งหลาย เพื่อนำไปตามใจว่า ดูกรบุรุษผู้เจริญ เชิญท่านมาเถิด
ท่านจะนุ่งห่มผ้ากาสายะเหล่านี้ทำไม? ท่านจะเป็นคนโล้นถือกระเบื้องเที่ยวไปทำไม? ท่านจงสึก
มาบริโภคโภคะและกระทำบุญเถิด ภิกษุผู้เจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ผู้กระทำให้มาก
ซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ นั้น จักลาสิกขาสึกออกเป็นคฤหัสถ์ ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมี
ได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะว่าจิตที่น้อมไปในวิเวก โน้มไปในวิเวก โอนไปในวิเวก
ตลอดกาลนานนั้น จักสึกออกมาเป็นคฤหัสถ์ ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้.
[๒๙๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ย่อม
กระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ อย่างไรเล่า? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรม
วินัยนี้ ย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ ฯลฯ
ย่อมเจริญสัมมาสมาธิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุย่อมเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ย่อมกระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอัน
ประกอบด้วยองค์ ๘ อย่างนี้แล.
จบ สูตรที่ ๑๕
จบ พลกรณียวรรค
พลังงานทางจิตมนุษย์
จะถูกใช้ทิ้งออกไป ๓ ทาง
๑ เสียพลังงาน ด้วยกายไหว คือทำการขยับ เป็นต้น
๒ เสียพลังงาน ด้วยวาจาใหว คือพูดจา
๓ เสียพลังงาน ด้วยใจ คือ คิดๆนึกๆปรุงๆแต่งๆ
แต่ถ้ากำหนดให้เสียพลังทิ้งโดย เป็นประโยชน์ ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี
เช่น ถ้าให้เสียพลังงานออกไปทางกาย โดยการเดินจรงกม (เดินกลับไปกลับมาอย่างสำรวมสบาย)
ก็เป็นประโยชน์ ในทางให้เกิดความสงบ
และถ้าให้เสียพลังงานออกไปทางวาจา
โดยการสวดมนต์ ฯ โดยการบริกรรมซ้ำๆซากๆบ่อยๆว่า นั่งอยู่ๆ
หรือ เดินอยู่ๆ
หรือ ยืนอยู่ๆ
ก็เป็นประโยชน์ในทางให้เกิดความสงบ
และถ้าให้เสียพลังงานออกไปทางใจ
โดยการ คิดลองดูซิว่าจะเป็นอย่างไร คือคิด" ไม่มีอะไรทั้งนั้น ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีเรา"
ก็เป็นประโยชน์ในทางให้เกิดความสงบ
นี้คือการปล่อยพลังงานออกไป โดยเกิดความสงบขึ้นมาแทนที่ใหม่เรื่อยๆ
จะถูกใช้ทิ้งออกไป ๓ ทาง
๑ เสียพลังงาน ด้วยกายไหว คือทำการขยับ เป็นต้น
๒ เสียพลังงาน ด้วยวาจาใหว คือพูดจา
๓ เสียพลังงาน ด้วยใจ คือ คิดๆนึกๆปรุงๆแต่งๆ
แต่ถ้ากำหนดให้เสียพลังทิ้งโดย เป็นประโยชน์ ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี
เช่น ถ้าให้เสียพลังงานออกไปทางกาย โดยการเดินจรงกม (เดินกลับไปกลับมาอย่างสำรวมสบาย)
ก็เป็นประโยชน์ ในทางให้เกิดความสงบ
และถ้าให้เสียพลังงานออกไปทางวาจา
โดยการสวดมนต์ ฯ โดยการบริกรรมซ้ำๆซากๆบ่อยๆว่า นั่งอยู่ๆ
หรือ เดินอยู่ๆ
หรือ ยืนอยู่ๆ
ก็เป็นประโยชน์ในทางให้เกิดความสงบ
และถ้าให้เสียพลังงานออกไปทางใจ
โดยการ คิดลองดูซิว่าจะเป็นอย่างไร คือคิด" ไม่มีอะไรทั้งนั้น ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีเรา"
ก็เป็นประโยชน์ในทางให้เกิดความสงบ
นี้คือการปล่อยพลังงานออกไป โดยเกิดความสงบขึ้นมาแทนที่ใหม่เรื่อยๆ
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
อ่านข้อมูลธรรมะ บนสมาทร์โฟน
อ่านพระไตรปิฏก pdf บนสมาทร์โฟน
การจะยกมือถือโด่ๆขึ้นมาตรงด้านหน้า แล้วอ่านเลย
ย่อมทำให้จิตแผ่ซ่านแตกกระแสออกไปภายนอก ทำให้เหนื่อยรู้สึกไม่มีพลังทางใจ ไม่อึดว่างั้น
แต่ถ้ายกมือถือขึ้นมา แล้วให้ฉากหลังของมือถือ มีส่วนของขาทั้งสองข้างหรือข้างใดข้างหนึ่ง หรือให้ฉากหลังเป็นขาที่ขว้ายคดกันอยู่ยิ่งไม่แตกกระจายออกไป
เพราะว่าถ้ามองดูสิ่งภายนอก จะเหนื่อยเร็ว หมดความอึด
แต่ถ้ามองก้มดูร่างกาย จะรู้สึกว่าไม่เหนื่อย
ทั้งนี้เพราะเป็นการเจริญหมวดกายยานั้นเอง
อ่านพระไตรปิฏก pdf บนสมาทร์โฟน
การจะยกมือถือโด่ๆขึ้นมาตรงด้านหน้า แล้วอ่านเลย
ย่อมทำให้จิตแผ่ซ่านแตกกระแสออกไปภายนอก ทำให้เหนื่อยรู้สึกไม่มีพลังทางใจ ไม่อึดว่างั้น
แต่ถ้ายกมือถือขึ้นมา แล้วให้ฉากหลังของมือถือ มีส่วนของขาทั้งสองข้างหรือข้างใดข้างหนึ่ง หรือให้ฉากหลังเป็นขาที่ขว้ายคดกันอยู่ยิ่งไม่แตกกระจายออกไป
เพราะว่าถ้ามองดูสิ่งภายนอก จะเหนื่อยเร็ว หมดความอึด
แต่ถ้ามองก้มดูร่างกาย จะรู้สึกว่าไม่เหนื่อย
ทั้งนี้เพราะเป็นการเจริญหมวดกายยานั้นเอง
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
อยากเป็น พระอนาคามี
1.วาดภาพภาวะว่าเป็นพระอนาคามี"
องค์ธรรมต่อมา "
2.พอใจ
องค์ธรรมต่อมา
3.เกิดความทะเยอทะยานอยาก อยากให้สำเร็จผลดังที่วาดภาพภาวะนั้นเร็วๆสิ ซักซ้า
จึงเป็น ภว ตัณหา
อานิสงค์ของการเป็นพระอนาคามี
1. ศีลในองค์มรรคบริบูรณ์ ฌานสมาธิในองค์มรรคบริบูรณ์ ปัญญาในองค์มรรคก็กำลังหมุนให้บริบูรณ์ตลอดเวลา
2. อภิญญาไม่เสื่อม
3. อยู่สบายเหมือนพรหม พราะไม่มีราคะโทสะมาเผาใจให้ร้อน
แต่พระโสดาบัน พระสกิทาคามี
ยังมีมาเผาบ้างเป็นบางครั้งบางคราว
4. โยมทำบุญด้วยแล้ว เกิดบุญกับเขาเยอะ
5. โอกาสทำให้แจ้งอรหันต์ มีเปอรเซนสูง
เพราะสมาธิพร้อมแล้ว
6. กินอะไรก็ได้ ไม่ต้องกลัวติดรสชาติ
7. แม้จะป่วยอาพาธหนักยามเก่เฒ่าหรือยามตาย สามารถเข้าสมาธิลงสู่ภวังค์จิต(องค์แห่งภพ) ไม่ทราบความเจ็บปวดทางกาย
8. ตายแล้วอุบัติเกิดบนชั้นพรหมสุทธวาส
9. วิจิตกิจฉาไม่มีในการเดินมรรค เทศณ์กี่นาทีหรือกี่ชัวโมงหรือทั้งวันทั้งคืน อุทัจจะความฟุ้งก็ไม่มี เพราะสมาธิเต็มบริบูรณ์แล้ว
...... อันนี้อานิสงค์พอคร่าวๆ
น่าสนใจนะ แหม .....
อานิสงส์ การเป็นพระอเสขะ
1. ศีลในองค์มรรค ฌานสมาธิในองค์มรรค ปัญญาในองค์มรรค เต็มบริบูรณ์
2. อภิญญาไม่เสื่อม
3. มีพระสูตรว่าไว้รับรองไว้ว่า พระอเสขะ สามารถสอนผู้อื่นได้แจ๋วในการให้เข้าถึงอรหัตภูมิ และ พระอนาคา ก็ในทำนองเดียวกัน เพราะวิจิตกิจไม่มีในการเดินมรรค เทศณ์กี่นาทีหรือกี่ชัวโมงหรือทั้งวันทั้งคืน อุทัจจะความฟุ้งก็ไม่มี เพราะสมาธิเต็มบริบูรณ์แล้ว
4. ตายแล้ว ขันธ์๕ ไม่ไม่ปรากฏอีก รูปนามดับไม่มีส่วนเหลือ จริมะจิตดับแล้วหมด ไม่มีเกิดที่ไหนอีก
5. เป็นผู้แจ้มแจ้งในปฏิจจสมุปบาทอันแสนซับซ้อน
คุณสมบัติของพระอรหันต์ ๑๒
๑. เป็นพระอรหันต์ คือผู้ไกลจากกิเลส (อรหันตะ)
๒. เป็นขีณาสพ คือผู้สิ้นกิเลสที่หมักดอง ในสันดาน (ขีณาสาวะ)
๓. เป็นผู้จบพรหมจรรย์แล้ว (วุสิตวันตะ)
๔. เป็นผู้มีกิจที่ควรทำ อันทำเสร็จแล้ว (กตกรณียะ)
๕. เป็นผู้มีภาระอันวางลงแล้ว (โอหิตภาระ)
๖. เป็นผู้มีประโยชน์ตน อันบรรลุโดยลำดับแล้ว (อนุปปัตตสทัตถะ)
๗. เป็นผู้สิ้นเครื่องผูกพัน ให้ติดอยู่ในภพแล้ว (ปริกขีณภวสัญโญชนะ)
๘. เป็นผู้หลุดพ้นแล้ว เพราะรู้โดยถูกต้อง (สัมมทัญญาวิมุตตะ)
๙. เป็นผู้ไม่มีภพใหม่แล้ว
๑๐. เป็นพระอเสขะ
๑๑. เป็นผู้มีอนุปาทิเสสนิพพาน และไม่กลับกำเริบอีก อกุปปา ในเบื้องหน้า
๑๒. เป็นผู้แจ่มแจ้งแล้วในปฏิจสมุปฺบาทด้วยญาณ
๑๓. เป็นผู้สิ้นวานะ(เครื่องผูก)ทั้งปวง
๑๒. เป็นผู้ไม่มีทุกข์
๑๓. เป็นผู้เย็นที่สุด สว่างที่สุด
๑๔. เป็นผู้ที่มีบริบูรณ์ในสามส่วน คือศีล สมาธิ ปัญญา
คร่าวๆประมาณนี้
1.วาดภาพภาวะว่าเป็นพระอนาคามี"
องค์ธรรมต่อมา "
2.พอใจ
องค์ธรรมต่อมา
3.เกิดความทะเยอทะยานอยาก อยากให้สำเร็จผลดังที่วาดภาพภาวะนั้นเร็วๆสิ ซักซ้า
จึงเป็น ภว ตัณหา
อานิสงค์ของการเป็นพระอนาคามี
1. ศีลในองค์มรรคบริบูรณ์ ฌานสมาธิในองค์มรรคบริบูรณ์ ปัญญาในองค์มรรคก็กำลังหมุนให้บริบูรณ์ตลอดเวลา
2. อภิญญาไม่เสื่อม
3. อยู่สบายเหมือนพรหม พราะไม่มีราคะโทสะมาเผาใจให้ร้อน
แต่พระโสดาบัน พระสกิทาคามี
ยังมีมาเผาบ้างเป็นบางครั้งบางคราว
4. โยมทำบุญด้วยแล้ว เกิดบุญกับเขาเยอะ
5. โอกาสทำให้แจ้งอรหันต์ มีเปอรเซนสูง
เพราะสมาธิพร้อมแล้ว
6. กินอะไรก็ได้ ไม่ต้องกลัวติดรสชาติ
7. แม้จะป่วยอาพาธหนักยามเก่เฒ่าหรือยามตาย สามารถเข้าสมาธิลงสู่ภวังค์จิต(องค์แห่งภพ) ไม่ทราบความเจ็บปวดทางกาย
8. ตายแล้วอุบัติเกิดบนชั้นพรหมสุทธวาส
9. วิจิตกิจฉาไม่มีในการเดินมรรค เทศณ์กี่นาทีหรือกี่ชัวโมงหรือทั้งวันทั้งคืน อุทัจจะความฟุ้งก็ไม่มี เพราะสมาธิเต็มบริบูรณ์แล้ว
...... อันนี้อานิสงค์พอคร่าวๆ
น่าสนใจนะ แหม .....
อานิสงส์ การเป็นพระอเสขะ
1. ศีลในองค์มรรค ฌานสมาธิในองค์มรรค ปัญญาในองค์มรรค เต็มบริบูรณ์
2. อภิญญาไม่เสื่อม
3. มีพระสูตรว่าไว้รับรองไว้ว่า พระอเสขะ สามารถสอนผู้อื่นได้แจ๋วในการให้เข้าถึงอรหัตภูมิ และ พระอนาคา ก็ในทำนองเดียวกัน เพราะวิจิตกิจไม่มีในการเดินมรรค เทศณ์กี่นาทีหรือกี่ชัวโมงหรือทั้งวันทั้งคืน อุทัจจะความฟุ้งก็ไม่มี เพราะสมาธิเต็มบริบูรณ์แล้ว
4. ตายแล้ว ขันธ์๕ ไม่ไม่ปรากฏอีก รูปนามดับไม่มีส่วนเหลือ จริมะจิตดับแล้วหมด ไม่มีเกิดที่ไหนอีก
5. เป็นผู้แจ้มแจ้งในปฏิจจสมุปบาทอันแสนซับซ้อน
คุณสมบัติของพระอรหันต์ ๑๒
๑. เป็นพระอรหันต์ คือผู้ไกลจากกิเลส (อรหันตะ)
๒. เป็นขีณาสพ คือผู้สิ้นกิเลสที่หมักดอง ในสันดาน (ขีณาสาวะ)
๓. เป็นผู้จบพรหมจรรย์แล้ว (วุสิตวันตะ)
๔. เป็นผู้มีกิจที่ควรทำ อันทำเสร็จแล้ว (กตกรณียะ)
๕. เป็นผู้มีภาระอันวางลงแล้ว (โอหิตภาระ)
๖. เป็นผู้มีประโยชน์ตน อันบรรลุโดยลำดับแล้ว (อนุปปัตตสทัตถะ)
๗. เป็นผู้สิ้นเครื่องผูกพัน ให้ติดอยู่ในภพแล้ว (ปริกขีณภวสัญโญชนะ)
๘. เป็นผู้หลุดพ้นแล้ว เพราะรู้โดยถูกต้อง (สัมมทัญญาวิมุตตะ)
๙. เป็นผู้ไม่มีภพใหม่แล้ว
๑๐. เป็นพระอเสขะ
๑๑. เป็นผู้มีอนุปาทิเสสนิพพาน และไม่กลับกำเริบอีก อกุปปา ในเบื้องหน้า
๑๒. เป็นผู้แจ่มแจ้งแล้วในปฏิจสมุปฺบาทด้วยญาณ
๑๓. เป็นผู้สิ้นวานะ(เครื่องผูก)ทั้งปวง
๑๒. เป็นผู้ไม่มีทุกข์
๑๓. เป็นผู้เย็นที่สุด สว่างที่สุด
๑๔. เป็นผู้ที่มีบริบูรณ์ในสามส่วน คือศีล สมาธิ ปัญญา
คร่าวๆประมาณนี้
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
"หลง ร่างอาหาร" หุ่นยนต์ประกอบด้วย ประดับด้วยเหล็กฉันใด
ร่างกายนี้ ก็ประดับด้วย ส้มตำ ผัดเนื้อหมู ต้มไก่ เมล็ดข้าว ขนม แกง ยำ ฯลฯ
กายนี้มีแต่อาหาร
อาหารแปรสภาพเป็นแขนขา
อาหารแปรสภาพเป็นเส้นผมเส้นขน
อาหารแปรสภาพลูกตา
อาหารแปรสภาพเป็นใบหู
อาหารแปรสภาพเป็นเล็บมือเล็บเท้า
อาหารแปรสภาพเป็นผิวเนื้อผิวหนัง
ร่างกระดูกนี้ ถูกปิดบังไว้ด้วยเนื้อและหนัง จึงทำให้มองไม่เห็นสภาพของกระดูกข้างในของจริง
ตับใต ใส่พุง ปอด ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก น้ำดี ม่าม ถูกปิดไว้ จึงทำให้มองไม่เห็น
หลง ร่างกายนี้ คือหลงธาตุของจักรวาล (รูปปะจักรวาล)
หลง กระแสความรู้สึกต่างๆ คือหลงนามมะจักรวาล
หลง เสียง ต่างๆ คือหลงสัทธะจักรวาล
หลง กลิ่น ต่างๆ คือหลงคัณธะจักรวาล
หลง รส ต่างๆ คือหลงระสะจักรวาล
หลง โผฏฐัพพะ คือหลงโผฏฐัพพะจักรวาล
ร่างกายนี้ ก็ประดับด้วย ส้มตำ ผัดเนื้อหมู ต้มไก่ เมล็ดข้าว ขนม แกง ยำ ฯลฯ
กายนี้มีแต่อาหาร
อาหารแปรสภาพเป็นแขนขา
อาหารแปรสภาพเป็นเส้นผมเส้นขน
อาหารแปรสภาพลูกตา
อาหารแปรสภาพเป็นใบหู
อาหารแปรสภาพเป็นเล็บมือเล็บเท้า
อาหารแปรสภาพเป็นผิวเนื้อผิวหนัง
ร่างกระดูกนี้ ถูกปิดบังไว้ด้วยเนื้อและหนัง จึงทำให้มองไม่เห็นสภาพของกระดูกข้างในของจริง
ตับใต ใส่พุง ปอด ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก น้ำดี ม่าม ถูกปิดไว้ จึงทำให้มองไม่เห็น
หลง ร่างกายนี้ คือหลงธาตุของจักรวาล (รูปปะจักรวาล)
หลง กระแสความรู้สึกต่างๆ คือหลงนามมะจักรวาล
หลง เสียง ต่างๆ คือหลงสัทธะจักรวาล
หลง กลิ่น ต่างๆ คือหลงคัณธะจักรวาล
หลง รส ต่างๆ คือหลงระสะจักรวาล
หลง โผฏฐัพพะ คือหลงโผฏฐัพพะจักรวาล
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
ญาติและมิตรทั้งหลายย่อมร้องไห้ถึงคนที่ตายแล้ว หรือยังเป็นอยู่แต่หายไป แต่คนใดละกามทั้งหลายได้แล้ว จะกลับมาในกามนี้อีก ญาติและมิตรทั้งหลาย ย่อมร้องไห้ถึงคนนั้น เพราะเขาเป็นอยู่ต่อไปอีกก็เหมือนตายแล้ว เรายกเจ้าขึ้นจากเถ้ารึงที่ยังร้อนระอุแล้ว ท่านอยากจะตกลงไปสู่เถ้ารึงอีกหรือ
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
คนในโลกนี้
ต้องมีสิ่งที่มี
เพื่ออาศัยสิ่งนั้นเป็นอยู่
ส่วนผู้ปฏิบัติธรรม
ต้องปฏิบัติ จนถึงสิ่งที่ไม่มี
และอยู่กับสิ่งที่ไม่มี
(หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)
ต้องมีสิ่งที่มี
เพื่ออาศัยสิ่งนั้นเป็นอยู่
ส่วนผู้ปฏิบัติธรรม
ต้องปฏิบัติ จนถึงสิ่งที่ไม่มี
และอยู่กับสิ่งที่ไม่มี
(หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
โทษของการมีใบหน้าสวย หุ่นสวย ผิวสวย
คือ มีความกำหนัดหลงในก้อนกายอันนี้มากกว่าคนที่มีร่างกายไม่สวย ทั้งๆที่ร่างกายอันนี้ล้วนเป็นซ้ากสัตว์ซ้ากวัชพืชที่มาหมักหมมรวมกันตั้งขึ้นมาเป็นกายนี้ และเกิดแต่สัมภาระธาตุแห่งมารดาบิดา
โทษของการมีใบหน้าหล่อ หุ่นดี ผิวสวย
คือ มีความกำหนัดหลงในก้อนกายอันนี้มากกว่าคนที่ไม่หล่อ ทั้งๆที่ร่างกายอันนี้ล้วนเป็นซ้ากสัตว์ซ้ากวัชพืชที่มาหมักหมมรวมกันตั้งขึ้นมาเป็นกายนี้ และเกิดแต่สัมภาระธาตุแห่งมารดาบิดา
คนขี้เหล่ไม่หล่อ คนขี้เหล่ไม่สวย
ถ้าพิจารณาดีๆ บางทีอาจจะได้เปรียบในข้อที่ว่า
มีความหลงมัวเมาต่อร่างกายนี้ น้อยกว่าคนสวยคนหล่อ
นี้คือจำพวกไม่ได้สดับธรรม
ดังนั้นผู้ใด ไม่ยินดีมัวเมากับร่างกายนี้ที่มีความเปลี่ยนแปลงแก่ชราทุกขณะๆ
แล้วถอนความพอใจ กลายเป็นวางเฉยต่อร่างกาย ให้เป็นเพียงสักแต่ว่า มีไว้ระลึกให้เกิดสติสัมประชัญญะ
ผู้นั่นแล มาถูกทางที่จะได้กำไรชีวิต
คือ มีความกำหนัดหลงในก้อนกายอันนี้มากกว่าคนที่มีร่างกายไม่สวย ทั้งๆที่ร่างกายอันนี้ล้วนเป็นซ้ากสัตว์ซ้ากวัชพืชที่มาหมักหมมรวมกันตั้งขึ้นมาเป็นกายนี้ และเกิดแต่สัมภาระธาตุแห่งมารดาบิดา
โทษของการมีใบหน้าหล่อ หุ่นดี ผิวสวย
คือ มีความกำหนัดหลงในก้อนกายอันนี้มากกว่าคนที่ไม่หล่อ ทั้งๆที่ร่างกายอันนี้ล้วนเป็นซ้ากสัตว์ซ้ากวัชพืชที่มาหมักหมมรวมกันตั้งขึ้นมาเป็นกายนี้ และเกิดแต่สัมภาระธาตุแห่งมารดาบิดา
คนขี้เหล่ไม่หล่อ คนขี้เหล่ไม่สวย
ถ้าพิจารณาดีๆ บางทีอาจจะได้เปรียบในข้อที่ว่า
มีความหลงมัวเมาต่อร่างกายนี้ น้อยกว่าคนสวยคนหล่อ
นี้คือจำพวกไม่ได้สดับธรรม
ดังนั้นผู้ใด ไม่ยินดีมัวเมากับร่างกายนี้ที่มีความเปลี่ยนแปลงแก่ชราทุกขณะๆ
แล้วถอนความพอใจ กลายเป็นวางเฉยต่อร่างกาย ให้เป็นเพียงสักแต่ว่า มีไว้ระลึกให้เกิดสติสัมประชัญญะ
ผู้นั่นแล มาถูกทางที่จะได้กำไรชีวิต
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
เป็นหยังคึมักไปยากกับผู้อื่นแท้
เป็นยังคึมักไปยากกับสิ่งภายนอกแท้
.......
เป็นหยังคึมักไปยากกับรูปแถะ
เป็นหยังคึมักไปยากกับเสียงแถะ
เป็นหยังคึมักไปยากกับกลิ่นภายนอกแท้
เป็นหยังคึมักไปยากกับรสภายนอกแท้
เป็นหยังคึมักไปยากกับโผฏฐัพพะแถะ
เป็นหยังคึมักไปยากกับความฮู้สึกแท้
เป็นหยังคึมักไปยากกับสัญญาหมายแถะ
เป็นหยังคึมักไปยากกับเรื่องราวความคิดแถะ
เป็นยังคึมักไปยากกับสิ่งภายนอกแท้
.......
เป็นหยังคึมักไปยากกับรูปแถะ
เป็นหยังคึมักไปยากกับเสียงแถะ
เป็นหยังคึมักไปยากกับกลิ่นภายนอกแท้
เป็นหยังคึมักไปยากกับรสภายนอกแท้
เป็นหยังคึมักไปยากกับโผฏฐัพพะแถะ
เป็นหยังคึมักไปยากกับความฮู้สึกแท้
เป็นหยังคึมักไปยากกับสัญญาหมายแถะ
เป็นหยังคึมักไปยากกับเรื่องราวความคิดแถะ
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
สอนเณร ปริยัติ
เมื่อเราปฏิบัติเราก็จะไม่ถูกใครว่าให้
"ว่า มีแต่ความรู้ในตัวหนังสือ แต่ไม่มีความรู้ในตัวปฏิบัติ "
ประมาณนี้
เมื่อเราปฏิบัติเราก็จะไม่ถูกใครว่าให้
"ว่า มีแต่ความรู้ในตัวหนังสือ แต่ไม่มีความรู้ในตัวปฏิบัติ "
ประมาณนี้
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
โยมไม่ซาบซึ่งในทางธรรม
จ้างห้าเขากะบออยากส่งลูก เข้าทางธรรม
เพราะเขาเห็นว่า ทางโลกแซบกว่าดีกว่า
ถ้าเห็นว่าทางธรรมดีกว่าแซบกว่า เขาคงไปทางธรรมและส่งลูกไปทางธรรมแล้ว
ไผ๋ๆกะอยากประสบความเจริญ ไผ๋ๆกะอยากให้ลูกไปทางเจริญ
พระศาสนาสนาสิยืนต่อไปได้ ด้วยเหตุ2ประการ ยกพอคราวๆในเบื้องต้นก่อน
1 พ่อแม่ หนุ่นส่งไปใส่ทางธรรม เปรียบเหมือนพ่อแม่อยากให้ลูกเป็นหมอกะยุลูกตีลูกให้มันเรียนหมอทั้งๆที่มันกะบอมัก
แต่ผลสุดท้ายจิตนั้นเป็นสิ่งที่ฝึกออกแบบนิสัยให้มันใด้ กะเลยต้องสนใจเรียนหมอเพราะถูกชี้จังใด๋มึงกะต้องไปฮัน
2 เขามีความสนใจเอง จิตใจแข็งปานเพชร สามารถทวนกระแสคำสั่งพอแม่ที่อยากให้ลูกออกไปทางโลกได้
และเหตุปัยจัยอื่นๆกะมี
จ้างห้าเขากะบออยากส่งลูก เข้าทางธรรม
เพราะเขาเห็นว่า ทางโลกแซบกว่าดีกว่า
ถ้าเห็นว่าทางธรรมดีกว่าแซบกว่า เขาคงไปทางธรรมและส่งลูกไปทางธรรมแล้ว
ไผ๋ๆกะอยากประสบความเจริญ ไผ๋ๆกะอยากให้ลูกไปทางเจริญ
พระศาสนาสนาสิยืนต่อไปได้ ด้วยเหตุ2ประการ ยกพอคราวๆในเบื้องต้นก่อน
1 พ่อแม่ หนุ่นส่งไปใส่ทางธรรม เปรียบเหมือนพ่อแม่อยากให้ลูกเป็นหมอกะยุลูกตีลูกให้มันเรียนหมอทั้งๆที่มันกะบอมัก
แต่ผลสุดท้ายจิตนั้นเป็นสิ่งที่ฝึกออกแบบนิสัยให้มันใด้ กะเลยต้องสนใจเรียนหมอเพราะถูกชี้จังใด๋มึงกะต้องไปฮัน
2 เขามีความสนใจเอง จิตใจแข็งปานเพชร สามารถทวนกระแสคำสั่งพอแม่ที่อยากให้ลูกออกไปทางโลกได้
และเหตุปัยจัยอื่นๆกะมี
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
ฆราวาส คือนักสะสม
สมณะ คือนัก สละ
สมณะ คือนัก สละ
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
ถ่ายฮูป กะคือถ่ายเนื้อหมู่ เนื้อไก่ ผัก ที่กินเข้าไป
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
ถ้ารู้ตลอดว่า สิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้ยิน กลิ่นที่ได้ทราบ รสน้ำลายจืด สิ่งที่ถูกผิวหนัง นั้นมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
กับทั้งรู้ตลอดว่า ร่างกายนี้ทุกส่วน ก็ล้วนไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
กับทั้งรู้ตลอดว่ากระแสวิญญาณที่ที่รับรู้รับทราบ ที่รู้ทราบรูปธรรมก็ตาม ทราบนามธรรมก็ตาม ก็ล้วนไปเที่ยง
กับทั้งรู้ตลอดว่า ร่างกายนี้ทุกส่วน ก็ล้วนไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
กับทั้งรู้ตลอดว่ากระแสวิญญาณที่ที่รับรู้รับทราบ ที่รู้ทราบรูปธรรมก็ตาม ทราบนามธรรมก็ตาม ก็ล้วนไปเที่ยง
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
ใช้ชีวิตอยู่ผู้เดียว สบายมีความสุขกว่า
ถ้าการมีชีวิตคู่อยู่ครองเรือน มันเป็นสิ่งที่วิเศษ
ทำไมพระสัมมาสัมพุทธะจึงออกบวช แล้วไม่กลับมาครองเรือนอีกเลย
คนเราจะเสียความสุขความสบายไป ก็ต่อเมื่อ เริ่มทะเยอทะยานมีตัณหากับสิ่งภายนอก
ถ้าการมีชีวิตคู่อยู่ครองเรือน มันเป็นสิ่งที่วิเศษ
ทำไมพระสัมมาสัมพุทธะจึงออกบวช แล้วไม่กลับมาครองเรือนอีกเลย
คนเราจะเสียความสุขความสบายไป ก็ต่อเมื่อ เริ่มทะเยอทะยานมีตัณหากับสิ่งภายนอก
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
อัตตาภาพร่างกาย โผ่ปรากฏออกมาลักษณะต่างๆนาๆ ก็เนื่องด้วยกระแสสังขาร กระแสสัญญา กระแสความคิด กระแสความรู้สึก เป็นตัวกำหนด
กับทั้งบวกกับวิบากกรรมเก่าด้วย
เปรียบเหมือนทำการคิดๆนึกๆปรุงๆแต่งๆ ผลอันเกิดจากจิตปรุงแต่ง ทำให้มีผลพลอยเกิดตามคือ
อัตตาภาพร่างกาย
แต่ก็ไม่ใช่ว่า ความคิด จะเป็นตัวชนวนทำให้เกิดอัตตาภาพร่างกายขึ้นเสมอไป
ความคิดบางลักษณะทำให้ ไม่มีอัตตาภาพร่างกาย
ดั่งเช่น คิดในลักษณะว่า" ไม่มีอะไร"
ก็จะเข้าถึง อากิณจัญญายตนะภพ เป็นพรหมที่ไม่มีอัตตาภาพร่างกาย
มันลักษณะคล้ายๆว่า สามารถลดหรือเพิ่มจำนวนขันธ์ได้ ด้วยความคิด
เช่นปราถนาลดจำนวนขันธ์ลง สัก หนึ่งขันธ์ คือรูปขันธ์ ก็เพียงแค่คิดไปในลักษณะ อากาศไม่มีที่สิ้นสุด วิณญาณไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีอะไร เป็นต้น
วิบากของการคิดเช่นนี้ ทำให้หลังตาย รูปขันธ์หายไป
ที่นี้ถ้าปราถนาลดจำนวนขันธ์ลงอีก คือเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ ก็เพียงแค่คิดไปในลักษณะ สัญญาเวทยิตนิโรธร
แล้วถ้าพิจารณาลงให้ลึกสุดๆ คือ นิพพาน หรือ อรหันต์ เป็นเพียงแค่การลด จำนวนขันธ์ลงให้หมด
คือลดรูปขันธ์ลง ให้ไม่มี
ลดเวทนาขันธ์ลง ให้ไม่มี
ลดสัญญาขันธ์ลง ให้ไม่มี
ลดสังขารขันธ์ลง ให้ไม่มี
ลดวิญญาณขันธ์ลง ให้ไม่มี
แล้วก็กลายเป็น สภาพ อสังขตะ
ตรงข้ามกับ สภาพ สังขตะ คือขันธ์ทั้งห้า
กับทั้งบวกกับวิบากกรรมเก่าด้วย
เปรียบเหมือนทำการคิดๆนึกๆปรุงๆแต่งๆ ผลอันเกิดจากจิตปรุงแต่ง ทำให้มีผลพลอยเกิดตามคือ
อัตตาภาพร่างกาย
แต่ก็ไม่ใช่ว่า ความคิด จะเป็นตัวชนวนทำให้เกิดอัตตาภาพร่างกายขึ้นเสมอไป
ความคิดบางลักษณะทำให้ ไม่มีอัตตาภาพร่างกาย
ดั่งเช่น คิดในลักษณะว่า" ไม่มีอะไร"
ก็จะเข้าถึง อากิณจัญญายตนะภพ เป็นพรหมที่ไม่มีอัตตาภาพร่างกาย
มันลักษณะคล้ายๆว่า สามารถลดหรือเพิ่มจำนวนขันธ์ได้ ด้วยความคิด
เช่นปราถนาลดจำนวนขันธ์ลง สัก หนึ่งขันธ์ คือรูปขันธ์ ก็เพียงแค่คิดไปในลักษณะ อากาศไม่มีที่สิ้นสุด วิณญาณไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีอะไร เป็นต้น
วิบากของการคิดเช่นนี้ ทำให้หลังตาย รูปขันธ์หายไป
ที่นี้ถ้าปราถนาลดจำนวนขันธ์ลงอีก คือเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ ก็เพียงแค่คิดไปในลักษณะ สัญญาเวทยิตนิโรธร
แล้วถ้าพิจารณาลงให้ลึกสุดๆ คือ นิพพาน หรือ อรหันต์ เป็นเพียงแค่การลด จำนวนขันธ์ลงให้หมด
คือลดรูปขันธ์ลง ให้ไม่มี
ลดเวทนาขันธ์ลง ให้ไม่มี
ลดสัญญาขันธ์ลง ให้ไม่มี
ลดสังขารขันธ์ลง ให้ไม่มี
ลดวิญญาณขันธ์ลง ให้ไม่มี
แล้วก็กลายเป็น สภาพ อสังขตะ
ตรงข้ามกับ สภาพ สังขตะ คือขันธ์ทั้งห้า
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
๑. จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม จะหมดสวยหมดหล่อ เมื่อถูกถลกผมออกจนเหลือแต่หัวโล้นๆ
และเป็นเหตุให้คลายความหลงคลายความติดใจ ต่อหญิงชายคนนั้นได้ เมื่อมีปัญญาเป็นเหตุ
๒. จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม
จะหมดสวยหมดหล่อ เมื่อถูกถลกหนังออกจนเหลือแต่เนื้อแดงๆสดๆดิบๆ
และเป็นเหตุให้คลายความหลงคลายความติดใจ ต่อหญิงชายร่างเนื้อแดงๆสดๆดิบๆคนนั้นได้ เมื่อมีปัญญาเป็นเหตุ
๓. จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม จะหมดสวยหมดหล่อ เมื่อถูกถลกเนื้อออกจนเหลือแต่โครงร่างกระดูก หัวกระโหลกขาวๆแบบว่ามองดูกระดูกซี่โครงด้านหน้า ก็เห็นทะลุถึงกระดูกซี่โครงด้านหลัง และทะลุไปเห็นต้นไม้ที่อยู่บริเวรข้างหลังอีกด้วย
และเป็นเหตุให้คลายความหลงคลายความติดใจ ต่อร่างโครงกระดูกหญิง ต่อร่างโครงกระดูกชายคนนั้นได้ เมื่อมีปัญญาเป็นเหตุ
๔. จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม จะหมดสวยหมดหล่อ เมื่อถูกถลกกระดูกออกจนหมดจนเหลือแต่ลูกกะตาที่ติดอยู่กับสมอง
และอวัยวะภายใน คือ หลอดอาหาร ปอด กระเพาะ หัวใจ ม้าม ตับ ลำไส้ใหญ่ลำไส้เล็ก ถุงปัสสาวะ ถุงน้ำดี ฯลฯ ที่โยงกันอยู่ คล้ายๆเหมือนกระสือชายกระสือหญิง ที่โชว์อวัยวะภายในห้อยโต่งเต่งๆลอยไปมาตามอากาศ ตามยอดไม้
และเป็นเหตุให้คลายความหลงคลายความติดใจ ต่อร่างอวัยวะที่คล้ายกระสือชายคล้ายกระสือหญิงคนนั้นได้ เมื่อมีปัญญาเป็นเหตุ
๕. จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม เมื่อถูกถลกอวัยวะภายในออก พวกสมอง
พวกหลอดอาหาร ปอด กระเพาะ หัวใจ ม้าม ตับ ลำไส้ใหญ่ลำไส้เล็ก ถุงปัสสาวะ ถุงน้ำดี ฯลฯ ออกมาวางกระจายข้างนอกให้เป็นแถวตอนเรียงหนึ่ง เรียงสอง เรียงสาม ฯลฯ เหมือนเด็กเข้าแถวหน้าเสาธง แล้วไปทิ้งเรี่ยร่ายกระจายตามพื้นดิน แล้วสลายหายไปกับพื้นดิน สลายหายไปกับสายลม สลายหายไปกับสายน้ำ สลายหายไปเพราะไฟไหม้
๖. ก็จะเป็นเหตุให้คลายความหลงคลายความติดใจ ต่ออวัยวะที่กระจัดกระจาย เป็นแถวตอนเรียงหนึ่ง เรียงสอง เรียงสาม ฯลฯ เหมือนเด็กเข้าแถวหน้าเสาธงนั้นได้ ถ้าเมื่อมีปัญญาเป็นเหตุ
๗. ก็จะเป็นเหตุให้ คลายความหลง คลายความติดใจ ต่อร่างอาหารนี้อันเป็นสัมภาระธาตุทั้งสี่ ที่เป็นของมารดาบิดา เกิดแต่มารดาบิดาร่วมรักใคร่กัน และมีจิตมาปฏิสนธิ
ยั่งลงสู่อสุจิและไข่ หรือสิงอสุจิและไข่ จะว่าไซโกสหรือกลละ ก็ได้ แล้วเจริญเติบโต ขยายออกมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นปัญจสาขา หัวหนึ่ง แขนสอง ขาสอง และเจริญเติบโตขยายใหญ่ขึ้นมาเรื่อยๆด้วยอาหารที่มารดารับประทานเข้าไปแปะไว้เรื่อยๆ ส่วนหนึ่งก็ออกเป็นขี้ เป็นเหยี่ยว จนถึงลำดับการคลอดออกมา แล้วรับธาตุทั้งสี่เข้าไปเปอะเข้าไปเพิ่มอีกเรื่อยๆ อันเป็นชาวโลกเรียกว่าอาหาร แต่ความจริลมันซ้ากผักซ้ากเนื้อสุก ฯลฯ ต่างๆ หรือเอาจริงๆก็คือ กินดินกินน้ำแปรรูปโดยธรรมชาติเขาแปรสภาพให้ และดำเนินการเจริญเสื่อมจนถึงกับแก่ชรา และทำกาละมรณะตายลงไป
* ทางรูปธรรมสิ่งทั้งหลายที่เป็นเหตุให้เกิดการยั่งลงปฏิสนธิหรือสิงอสุจิและไข่ได้ ก็สลายคืนสู่ดิน สู่น้ำ ฯลฯ คืนธรรมชาติคืนผิวโลกเขาไปตามเดินนั่นแหละ
และเป็นเหตุให้คลายความหลงคลายความติดใจ ต่อหญิงชายคนนั้นได้ เมื่อมีปัญญาเป็นเหตุ
๒. จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม
จะหมดสวยหมดหล่อ เมื่อถูกถลกหนังออกจนเหลือแต่เนื้อแดงๆสดๆดิบๆ
และเป็นเหตุให้คลายความหลงคลายความติดใจ ต่อหญิงชายร่างเนื้อแดงๆสดๆดิบๆคนนั้นได้ เมื่อมีปัญญาเป็นเหตุ
๓. จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม จะหมดสวยหมดหล่อ เมื่อถูกถลกเนื้อออกจนเหลือแต่โครงร่างกระดูก หัวกระโหลกขาวๆแบบว่ามองดูกระดูกซี่โครงด้านหน้า ก็เห็นทะลุถึงกระดูกซี่โครงด้านหลัง และทะลุไปเห็นต้นไม้ที่อยู่บริเวรข้างหลังอีกด้วย
และเป็นเหตุให้คลายความหลงคลายความติดใจ ต่อร่างโครงกระดูกหญิง ต่อร่างโครงกระดูกชายคนนั้นได้ เมื่อมีปัญญาเป็นเหตุ
๔. จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม จะหมดสวยหมดหล่อ เมื่อถูกถลกกระดูกออกจนหมดจนเหลือแต่ลูกกะตาที่ติดอยู่กับสมอง
และอวัยวะภายใน คือ หลอดอาหาร ปอด กระเพาะ หัวใจ ม้าม ตับ ลำไส้ใหญ่ลำไส้เล็ก ถุงปัสสาวะ ถุงน้ำดี ฯลฯ ที่โยงกันอยู่ คล้ายๆเหมือนกระสือชายกระสือหญิง ที่โชว์อวัยวะภายในห้อยโต่งเต่งๆลอยไปมาตามอากาศ ตามยอดไม้
และเป็นเหตุให้คลายความหลงคลายความติดใจ ต่อร่างอวัยวะที่คล้ายกระสือชายคล้ายกระสือหญิงคนนั้นได้ เมื่อมีปัญญาเป็นเหตุ
๕. จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม เมื่อถูกถลกอวัยวะภายในออก พวกสมอง
พวกหลอดอาหาร ปอด กระเพาะ หัวใจ ม้าม ตับ ลำไส้ใหญ่ลำไส้เล็ก ถุงปัสสาวะ ถุงน้ำดี ฯลฯ ออกมาวางกระจายข้างนอกให้เป็นแถวตอนเรียงหนึ่ง เรียงสอง เรียงสาม ฯลฯ เหมือนเด็กเข้าแถวหน้าเสาธง แล้วไปทิ้งเรี่ยร่ายกระจายตามพื้นดิน แล้วสลายหายไปกับพื้นดิน สลายหายไปกับสายลม สลายหายไปกับสายน้ำ สลายหายไปเพราะไฟไหม้
๖. ก็จะเป็นเหตุให้คลายความหลงคลายความติดใจ ต่ออวัยวะที่กระจัดกระจาย เป็นแถวตอนเรียงหนึ่ง เรียงสอง เรียงสาม ฯลฯ เหมือนเด็กเข้าแถวหน้าเสาธงนั้นได้ ถ้าเมื่อมีปัญญาเป็นเหตุ
๗. ก็จะเป็นเหตุให้ คลายความหลง คลายความติดใจ ต่อร่างอาหารนี้อันเป็นสัมภาระธาตุทั้งสี่ ที่เป็นของมารดาบิดา เกิดแต่มารดาบิดาร่วมรักใคร่กัน และมีจิตมาปฏิสนธิ
ยั่งลงสู่อสุจิและไข่ หรือสิงอสุจิและไข่ จะว่าไซโกสหรือกลละ ก็ได้ แล้วเจริญเติบโต ขยายออกมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นปัญจสาขา หัวหนึ่ง แขนสอง ขาสอง และเจริญเติบโตขยายใหญ่ขึ้นมาเรื่อยๆด้วยอาหารที่มารดารับประทานเข้าไปแปะไว้เรื่อยๆ ส่วนหนึ่งก็ออกเป็นขี้ เป็นเหยี่ยว จนถึงลำดับการคลอดออกมา แล้วรับธาตุทั้งสี่เข้าไปเปอะเข้าไปเพิ่มอีกเรื่อยๆ อันเป็นชาวโลกเรียกว่าอาหาร แต่ความจริลมันซ้ากผักซ้ากเนื้อสุก ฯลฯ ต่างๆ หรือเอาจริงๆก็คือ กินดินกินน้ำแปรรูปโดยธรรมชาติเขาแปรสภาพให้ และดำเนินการเจริญเสื่อมจนถึงกับแก่ชรา และทำกาละมรณะตายลงไป
* ทางรูปธรรมสิ่งทั้งหลายที่เป็นเหตุให้เกิดการยั่งลงปฏิสนธิหรือสิงอสุจิและไข่ได้ ก็สลายคืนสู่ดิน สู่น้ำ ฯลฯ คืนธรรมชาติคืนผิวโลกเขาไปตามเดินนั่นแหละ
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
๑. จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม จะหมดสวยหมดหล่อ เมื่อถูกถลกผมออกจนเหลือแต่หัวโล้นๆ
และเป็นเหตุให้คลายความหลงคลายความติดใจ ต่อหญิงชายคนนั้นได้ เมื่อมีปัญญาเป็นเหตุ
๒. จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม
จะหมดสวยหมดหล่อ เมื่อถูกถลกหนังออกจนเหลือแต่เนื้อแดงๆสดๆดิบๆ
และเป็นเหตุให้คลายความหลงคลายความติดใจ ต่อหญิงชายร่างเนื้อแดงๆสดๆดิบๆคนนั้นได้ เมื่อมีปัญญาเป็นเหตุ
๓. จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม จะหมดสวยหมดหล่อ เมื่อถูกถลกเนื้อออกจนเหลือแต่โครงร่างกระดูก หัวกระโหลกขาวๆแบบว่ามองดูกระดูกซี่โครงด้านหน้า ก็เห็นทะลุถึงกระดูกซี่โครงด้านหลัง และทะลุไปเห็นต้นไม้ที่อยู่บริเวรข้างหลังอีกด้วย
และเป็นเหตุให้คลายความหลงคลายความติดใจ ต่อร่างโครงกระดูกหญิง ต่อร่างโครงกระดูกชายคนนั้นได้ เมื่อมีปัญญาเป็นเหตุ
๔. จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม จะหมดสวยหมดหล่อ เมื่อถูกถลกกระดูกออกจนหมดจนเหลือแต่ลูกกะตาที่ติดอยู่กับสมอง
และอวัยวะภายใน คือ หลอดอาหาร ปอด กระเพาะ หัวใจ ม้าม ตับ ลำไส้ใหญ่ลำไส้เล็ก ถุงปัสสาวะ ถุงน้ำดี ฯลฯ ที่โยงกันอยู่ คล้ายๆเหมือนกระสือชายกระสือหญิง ที่โชว์อวัยวะภายในห้อยโต่งเต่งๆลอยไปมาตามอากาศ ตามยอดไม้
และเป็นเหตุให้คลายความหลงคลายความติดใจ ต่อร่างอวัยวะที่คล้ายกระสือชายคล้ายกระสือหญิงคนนั้นได้ เมื่อมีปัญญาเป็นเหตุ
๕. จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม เมื่อถูกถลกอวัยวะภายในออก พวกสมอง
พวกหลอดอาหาร ปอด กระเพาะ หัวใจ ม้าม ตับ ลำไส้ใหญ่ลำไส้เล็ก ถุงปัสสาวะ ถุงน้ำดี ฯลฯ ออกมาวางกระจายข้างนอกให้เป็นแถวตอนเรียงหนึ่ง เรียงสอง เรียงสาม ฯลฯ เหมือนเด็กเข้าแถวหน้าเสาธง แล้วไปทิ้งเรี่ยร่ายกระจายตามพื้นดิน แล้วสลายหายไปกับพื้นดิน สลายหายไปกับสายลม สลายหายไปกับสายน้ำ สลายหายไปเพราะไฟไหม้
๖. ก็จะเป็นเหตุให้คลายความหลงคลายความติดใจ ต่ออวัยวะที่กระจัดกระจาย เป็นแถวตอนเรียงหนึ่ง เรียงสอง เรียงสาม ฯลฯ เหมือนเด็กเข้าแถวหน้าเสาธงนั้นได้ ถ้าเมื่อมีปัญญาเป็นเหตุ
๗. ก็จะเป็นเหตุให้ คลายความหลง คลายความติดใจ ต่อร่างอาหารนี้อันเป็นสัมภาระธาตุทั้งสี่ ที่เป็นของมารดาบิดา เกิดแต่มารดาบิดาร่วมรักใคร่กัน และมีจิตมาปฏิสนธิ
ยั่งลงสู่อสุจิและไข่ หรือสิงอสุจิและไข่ จะว่าไซโกสหรือกลละ ก็ได้ แล้วเจริญเติบโต ขยายออกมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นปัญจสาขา หัวหนึ่ง แขนสอง ขาสอง และเจริญเติบโตขยายใหญ่ขึ้นมาเรื่อยๆด้วยอาหารที่มารดารับประทานเข้าไปแปะไว้
และเป็นเหตุให้คลายความหลงคลายความติดใจ ต่อหญิงชายคนนั้นได้ เมื่อมีปัญญาเป็นเหตุ
๒. จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม
จะหมดสวยหมดหล่อ เมื่อถูกถลกหนังออกจนเหลือแต่เนื้อแดงๆสดๆดิบๆ
และเป็นเหตุให้คลายความหลงคลายความติดใจ ต่อหญิงชายร่างเนื้อแดงๆสดๆดิบๆคนนั้นได้ เมื่อมีปัญญาเป็นเหตุ
๓. จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม จะหมดสวยหมดหล่อ เมื่อถูกถลกเนื้อออกจนเหลือแต่โครงร่างกระดูก หัวกระโหลกขาวๆแบบว่ามองดูกระดูกซี่โครงด้านหน้า ก็เห็นทะลุถึงกระดูกซี่โครงด้านหลัง และทะลุไปเห็นต้นไม้ที่อยู่บริเวรข้างหลังอีกด้วย
และเป็นเหตุให้คลายความหลงคลายความติดใจ ต่อร่างโครงกระดูกหญิง ต่อร่างโครงกระดูกชายคนนั้นได้ เมื่อมีปัญญาเป็นเหตุ
๔. จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม จะหมดสวยหมดหล่อ เมื่อถูกถลกกระดูกออกจนหมดจนเหลือแต่ลูกกะตาที่ติดอยู่กับสมอง
และอวัยวะภายใน คือ หลอดอาหาร ปอด กระเพาะ หัวใจ ม้าม ตับ ลำไส้ใหญ่ลำไส้เล็ก ถุงปัสสาวะ ถุงน้ำดี ฯลฯ ที่โยงกันอยู่ คล้ายๆเหมือนกระสือชายกระสือหญิง ที่โชว์อวัยวะภายในห้อยโต่งเต่งๆลอยไปมาตามอากาศ ตามยอดไม้
และเป็นเหตุให้คลายความหลงคลายความติดใจ ต่อร่างอวัยวะที่คล้ายกระสือชายคล้ายกระสือหญิงคนนั้นได้ เมื่อมีปัญญาเป็นเหตุ
๕. จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม เมื่อถูกถลกอวัยวะภายในออก พวกสมอง
พวกหลอดอาหาร ปอด กระเพาะ หัวใจ ม้าม ตับ ลำไส้ใหญ่ลำไส้เล็ก ถุงปัสสาวะ ถุงน้ำดี ฯลฯ ออกมาวางกระจายข้างนอกให้เป็นแถวตอนเรียงหนึ่ง เรียงสอง เรียงสาม ฯลฯ เหมือนเด็กเข้าแถวหน้าเสาธง แล้วไปทิ้งเรี่ยร่ายกระจายตามพื้นดิน แล้วสลายหายไปกับพื้นดิน สลายหายไปกับสายลม สลายหายไปกับสายน้ำ สลายหายไปเพราะไฟไหม้
๖. ก็จะเป็นเหตุให้คลายความหลงคลายความติดใจ ต่ออวัยวะที่กระจัดกระจาย เป็นแถวตอนเรียงหนึ่ง เรียงสอง เรียงสาม ฯลฯ เหมือนเด็กเข้าแถวหน้าเสาธงนั้นได้ ถ้าเมื่อมีปัญญาเป็นเหตุ
๗. ก็จะเป็นเหตุให้ คลายความหลง คลายความติดใจ ต่อร่างอาหารนี้อันเป็นสัมภาระธาตุทั้งสี่ ที่เป็นของมารดาบิดา เกิดแต่มารดาบิดาร่วมรักใคร่กัน และมีจิตมาปฏิสนธิ
ยั่งลงสู่อสุจิและไข่ หรือสิงอสุจิและไข่ จะว่าไซโกสหรือกลละ ก็ได้ แล้วเจริญเติบโต ขยายออกมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นปัญจสาขา หัวหนึ่ง แขนสอง ขาสอง และเจริญเติบโตขยายใหญ่ขึ้นมาเรื่อยๆด้วยอาหารที่มารดารับประทานเข้าไปแปะไว้
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
พ่อค้าหัวดีคึหยังนิ ส่วนอาตมาเกรดพอออกจาก ม.6 ได้ พ่อใหญ่บ้านกะบอได้โง่ ไผ๋ละสิกล้าไปตั๋ว พ่อค้ากะหัวดี พ่อใหญ่บ้านกะหัวดี เว้าให้ฟังแล้ว กะถือว่าสิ้นสุดหน้าที่ของเฮาแล้ว
เหลือนั่นแล้วแต่เขาสิตัดสินใจเอง
แม่ใหญ่หนูต้องการให้เฮ็ดหลายกว่านี้อีก แต่ฮันเว้าบ่อได้ กะเลยเอาเฉพาะข้อที่จำเป็นๆ
๑ กระดูกอย่าเอาเข้าธาตุเมิ๊ด ให้ลูกแต่ละคนแบ่งกันเอาไว้
เอาไว้เถิ่งเฮียน และเอาไว้บ้านพักนำ และเอาไว้หน้ารถใหญ่นำ รถขายของ รถสี่ล้อ
๒ งานทำบุญร้อยวัน อย่าเอาหมูมาฆ่า แต่ให้ซื้อเอาอันที่เขาฆ่าแล้ว
#แม่ใหญ่หนูยุชั้นดาวดึงส์ สวรรค์ชั้นที่๒
(สวรรค์มี๖ชั้น)
1 จาตุมหาราชิกา
2 ดาวดึงส์
3 ยามา
4 ดุสิต
5 นิมมานรดี
6 ปรนิมมิตะวสวัตดี
ถ้าบ่เห็น.แล้วสิให้เชื่อเลยมันยากสำหรับคนหัวดีคนปัญญาหลาย เฮากะทำตามความสามารถไปแล้ว ขึ้นอยู่ที่เขาสิเฮ็ดตามบอ
เหลือนั่นแล้วแต่เขาสิตัดสินใจเอง
แม่ใหญ่หนูต้องการให้เฮ็ดหลายกว่านี้อีก แต่ฮันเว้าบ่อได้ กะเลยเอาเฉพาะข้อที่จำเป็นๆ
๑ กระดูกอย่าเอาเข้าธาตุเมิ๊ด ให้ลูกแต่ละคนแบ่งกันเอาไว้
เอาไว้เถิ่งเฮียน และเอาไว้บ้านพักนำ และเอาไว้หน้ารถใหญ่นำ รถขายของ รถสี่ล้อ
๒ งานทำบุญร้อยวัน อย่าเอาหมูมาฆ่า แต่ให้ซื้อเอาอันที่เขาฆ่าแล้ว
#แม่ใหญ่หนูยุชั้นดาวดึงส์ สวรรค์ชั้นที่๒
(สวรรค์มี๖ชั้น)
1 จาตุมหาราชิกา
2 ดาวดึงส์
3 ยามา
4 ดุสิต
5 นิมมานรดี
6 ปรนิมมิตะวสวัตดี
ถ้าบ่เห็น.แล้วสิให้เชื่อเลยมันยากสำหรับคนหัวดีคนปัญญาหลาย เฮากะทำตามความสามารถไปแล้ว ขึ้นอยู่ที่เขาสิเฮ็ดตามบอ
กว่าจะรู้สิ่งทั้งปวง ใช้เวลาตั้ง 4 อสงไข กำไรอีกแสนกัป + บำเพ็ญทุกขกิริยาตั้ง 6 ปี
ที่ต้องบำเพ็ญทุกขกิริยา6ปี
เพราะกรรมที่ไปพูดว่าให้พระกัสสปะสัมมานัมพุทธะเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ที่แล้ว)
ว่า"สัพพัญญูตะญาณจะมีแต่ที่ไหน ท่านได้โดยยากยิ่ง"
เพราะวจีกรรมอันนี้นี่เอง ทำให้เจ้าชายสิทธัดถะ
ต้อง บำเพ็ญทุกขกิริยาตั้ง6ปี
แล้วจึงตรัสรู้ และประกาศเรื่องราวความจริงที่พระองค์ทราบ เอาเฉพาะเรื่องที่เป็นประโยชน์จริง เป็นแก่นสารจริง เป็นสิ่งที่มนุษย์ควรทราบที่สุด คือเรื่องการดับทุกข์ทางใจอย่างถาวร ไม่ให้มีเหลือเชื้อเกิดขึ้นได้
ที่ต้องบำเพ็ญทุกขกิริยา6ปี
เพราะกรรมที่ไปพูดว่าให้พระกัสสปะสัมมานัมพุทธะเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ที่แล้ว)
ว่า"สัพพัญญูตะญาณจะมีแต่ที่ไหน ท่านได้โดยยากยิ่ง"
เพราะวจีกรรมอันนี้นี่เอง ทำให้เจ้าชายสิทธัดถะ
ต้อง บำเพ็ญทุกขกิริยาตั้ง6ปี
แล้วจึงตรัสรู้ และประกาศเรื่องราวความจริงที่พระองค์ทราบ เอาเฉพาะเรื่องที่เป็นประโยชน์จริง เป็นแก่นสารจริง เป็นสิ่งที่มนุษย์ควรทราบที่สุด คือเรื่องการดับทุกข์ทางใจอย่างถาวร ไม่ให้มีเหลือเชื้อเกิดขึ้นได้
อัพเดตเมื่อ พ.ย. 22, 2017 4:15:16am
คุณได้แท็ก Jindarut Siriwal, Bowling Sunisa Kengnok, Pat Thiranan, Jirapan Wongklang, Aphichat Norkaew, Chonlachai Duangkaeo, Chamaiporn Ponhan, Judy Jirapron, Browviwe Lovesick, Beer-malee BP, Dowpaky Dao, Benchakai Daungkaew, Chanyaphon Saisaman, Naree Maneenat, Benjamat Kruekongmat, Chainarong Inkhaow PB, Wichitchai Piankla, Bank Grittapas, Danusorn Pok Seesod, CK Kitkat, Love Ja Supannika, Fang Kittipong, Bat Bat Wisetkaew, Chinnakon Hnokaew, Orpeeya Pakprom, Chainimit Rakuaong, Chutamas Daungkaew, BeeBee Nichapat, BaiFern Lyy, Hong Far Natthaya, Auwa Sekhunthod, Sittinun Rakwong, Pui Chutima, มะนาว โฮ, Jakkapan Duangkaew, สมัย เกษมสัตย์ และ Krupui Darinee
พระบรมสารีริกธาตุ พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า
"(กระดูกพระพุทธเจ้า)" นั่นเอง
#การอันตรธานของพุทธศาสนา
ได้ยินว่า ในเวลาที่ศาสนาทรุดลง พระธาตุทั้งหลายก็จักไปรวมกันอยู่ในมหาเจดีย์ในเกาะตามพปัณณีทวีปนี้ ต่อจากมหาเจดีย์ก็จักไปรวมกันอยู่ที่ราชายตนเจดีย์ในนาคทวีปต่อแต่นั้น ก็จักไปสู่มหาโพธิบัลลังก์. พระธาตุทั้งหลายจากภพแห่งนาคก็ดี จากพรหมโลกก็ดี จักไปสู่มหาโพธิบัลลังก์ทีเดียว. พระธาตุแม้มีประมาณเท่าเมล็ดพันธุ์ ผักกาด ก็จักไม่อันตรธานไปเลย. พระธาตุทั้งหมดก็จะรวมกันเป็นกองอยู่ในมหาโพธิบัลลังก์ รวมกันอยู่แน่นเหมือนกองทองคำฉะนั้น เปล่งฉัพพัณณรังสีออกมา. พระธาตุเหล่านั้นจักแผ่ไปตลอดหมื่นโลกธาตุ. ต่อแต่นั้น เทวดาในหมื่นจักรวาลก็ประชุมพร้อมกันแล้ว กล่าวกันว่าพระศาสดาย่อมปรินิพพานไปในวันนี้ ศาสนาก็ย่อมทรุดโทรมไปในวันนี้ นี้เป็นการได้เห็นครั้งสุดท้ายของเราทั้งหลายในบัดนี้ ดังนี้แล้ว จักพากันกระทำความกรุณาอันยิ่งใหญ่ กว่าวันที่พระทศพลปรินิพพาน. เว้นพระอนาคามีและพระขีณาสพเสีย ภิกษุที่เหลือก็จักไม่สามารถดำรงอยู่ได้โดยภาวะของตน. เตโชธาตุในบรรดาธาตุทั้งหลาย ก็จักลุกพุ่งขึ้นไปจนถึงพรหมโลก เมื่อมีพระธาตุแม้เท่าเมล็ดพันธุ์ ผักกาดอยู่ ก็จักลุกเป็นเปลวเดียวกัน เมื่อธาตุทั้งหลายถึงความหมดแล้ว เตโชธาตุก็จักดับหายไป. เมื่อพระธาตุทั้งหลายได้แสดงอานุภาพอันใหญ่หลวงอย่างนี้แล้วหายไป ศาสนาก็เป็นอันชื่อว่าอันตรธานไป
จากพระไตรปิฎก มหามกุฏราชวิทยาลัยเล่ม 15 หน้า 251
"(กระดูกพระพุทธเจ้า)" นั่นเอง
#การอันตรธานของพุทธศาสนา
ได้ยินว่า ในเวลาที่ศาสนาทรุดลง พระธาตุทั้งหลายก็จักไปรวมกันอยู่ในมหาเจดีย์ในเกาะตามพปัณณีทวีปนี้ ต่อจากมหาเจดีย์ก็จักไปรวมกันอยู่ที่ราชายตนเจดีย์ในนาคทวีปต่อแต่นั้น ก็จักไปสู่มหาโพธิบัลลังก์. พระธาตุทั้งหลายจากภพแห่งนาคก็ดี จากพรหมโลกก็ดี จักไปสู่มหาโพธิบัลลังก์ทีเดียว. พระธาตุแม้มีประมาณเท่าเมล็ดพันธุ์ ผักกาด ก็จักไม่อันตรธานไปเลย. พระธาตุทั้งหมดก็จะรวมกันเป็นกองอยู่ในมหาโพธิบัลลังก์ รวมกันอยู่แน่นเหมือนกองทองคำฉะนั้น เปล่งฉัพพัณณรังสีออกมา. พระธาตุเหล่านั้นจักแผ่ไปตลอดหมื่นโลกธาตุ. ต่อแต่นั้น เทวดาในหมื่นจักรวาลก็ประชุมพร้อมกันแล้ว กล่าวกันว่าพระศาสดาย่อมปรินิพพานไปในวันนี้ ศาสนาก็ย่อมทรุดโทรมไปในวันนี้ นี้เป็นการได้เห็นครั้งสุดท้ายของเราทั้งหลายในบัดนี้ ดังนี้แล้ว จักพากันกระทำความกรุณาอันยิ่งใหญ่ กว่าวันที่พระทศพลปรินิพพาน. เว้นพระอนาคามีและพระขีณาสพเสีย ภิกษุที่เหลือก็จักไม่สามารถดำรงอยู่ได้โดยภาวะของตน. เตโชธาตุในบรรดาธาตุทั้งหลาย ก็จักลุกพุ่งขึ้นไปจนถึงพรหมโลก เมื่อมีพระธาตุแม้เท่าเมล็ดพันธุ์ ผักกาดอยู่ ก็จักลุกเป็นเปลวเดียวกัน เมื่อธาตุทั้งหลายถึงความหมดแล้ว เตโชธาตุก็จักดับหายไป. เมื่อพระธาตุทั้งหลายได้แสดงอานุภาพอันใหญ่หลวงอย่างนี้แล้วหายไป ศาสนาก็เป็นอันชื่อว่าอันตรธานไป
จากพระไตรปิฎก มหามกุฏราชวิทยาลัยเล่ม 15 หน้า 251
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
ผู้ใดใช้พรหมวิหาร๔เป็น ใช้ถูกกาละ
ผู้นั้นย่อมไม่ทุกข์ใจ...
บางโอกาสควรใช้พรหมวิหารข้ออุเบกขาอย่างเดียว
บางโอกาสควรใช้พรหมวิหารข้อเมตตากรุณาควบกันไป
บางโอกาสควรใช้พรหมวิหารข้อมุทิตาเพียงอย่างเดียว
พรหมวิหาร๔คือกรอบของนักปฏิบัติภาวนา
เพราะว่าจะอยู่เฉพาะเมตตา จะไปไม่ถึงอุเบกขาสัมโพชฌงค์
เพราะว่าการอยู่เฉพาะพรหมวิหาร๓ข้อต้น จะไปไม่ถึงนิพพาน เพราะข้องอยู่ในภพของพรหมชั้นล่าง ภพของพรหมชั้นบนคืออุเบกขาแล้วเบื่อหน่ายต่อภพอุเบกขา อันเป็นเวทนาที่อวิชชานุสัยซ่อนอยู่
ผู้นั้นย่อมไม่ทุกข์ใจ...
บางโอกาสควรใช้พรหมวิหารข้ออุเบกขาอย่างเดียว
บางโอกาสควรใช้พรหมวิหารข้อเมตตากรุณาควบกันไป
บางโอกาสควรใช้พรหมวิหารข้อมุทิตาเพียงอย่างเดียว
พรหมวิหาร๔คือกรอบของนักปฏิบัติภาวนา
เพราะว่าจะอยู่เฉพาะเมตตา จะไปไม่ถึงอุเบกขาสัมโพชฌงค์
เพราะว่าการอยู่เฉพาะพรหมวิหาร๓ข้อต้น จะไปไม่ถึงนิพพาน เพราะข้องอยู่ในภพของพรหมชั้นล่าง ภพของพรหมชั้นบนคืออุเบกขาแล้วเบื่อหน่ายต่อภพอุเบกขา อันเป็นเวทนาที่อวิชชานุสัยซ่อนอยู่
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
ถ้ามีอารมณ์อันเดียวคือธาตุลมหายใจ
.มันคือหนทางแห่งฌาน...
.มันคือหนทางแห่งฌาน...
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
คนขุมื้อหนิมันทุกข์ย้อนคิดกำหนดหมายไปเอง มันกะเลยทุกข์
พระอรหันต์เพิลบ่ถือมันกำหนดหมายใดๆเลย
และคนขุมื้อหนิทุกข์เพราะปรุงแต่งอารมณ์ความสุขใส่ใจบ่เป็น
ส่วนหลายมีแต่ปรุงแต่งอารมณ์ความทุกข์ใส่ใจเจ้าของ
เบิ่งเฮาแน ทั้งเรื่องราวครอบครัว
ทั้งเรื่องราวภายในผ้าเหลือง
เฮากะเคยงึดเจ้าของยุ...
เฮาถึงกับต้องเตือนพวกญาติเลยว่า เว้านำเฮาดีๆเด้อ
เดี๋ยวนี้ครูบาอาจารย์ที่เฮาเคารพฝากตัวแล้วคือพระอาจารย์ อนันต์ อกิณจโณ ยังบ่เคยเห็นเพิลตัวจริง
แต่ฮู้ตำแหน่งเพิลยุ แต่ฮั่นจักสิแมนรึบ่แมนกะบอซีเลือดปานใด๋ มันมีวิธีติดต่อกับเพิลยุ
ส่วนองค์อื่นๆ มันบ่ยอมลง หลวงปู่
พระอรหันต์เพิลบ่ถือมันกำหนดหมายใดๆเลย
และคนขุมื้อหนิทุกข์เพราะปรุงแต่งอารมณ์ความสุขใส่ใจบ่เป็น
ส่วนหลายมีแต่ปรุงแต่งอารมณ์ความทุกข์ใส่ใจเจ้าของ
เบิ่งเฮาแน ทั้งเรื่องราวครอบครัว
ทั้งเรื่องราวภายในผ้าเหลือง
เฮากะเคยงึดเจ้าของยุ...
เฮาถึงกับต้องเตือนพวกญาติเลยว่า เว้านำเฮาดีๆเด้อ
เดี๋ยวนี้ครูบาอาจารย์ที่เฮาเคารพฝากตัวแล้วคือพระอาจารย์ อนันต์ อกิณจโณ ยังบ่เคยเห็นเพิลตัวจริง
แต่ฮู้ตำแหน่งเพิลยุ แต่ฮั่นจักสิแมนรึบ่แมนกะบอซีเลือดปานใด๋ มันมีวิธีติดต่อกับเพิลยุ
ส่วนองค์อื่นๆ มันบ่ยอมลง หลวงปู่
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
คนขุมื้อหนิมันทุกข์ย้อนคิดกำหนดหมายไปเอง...
มันกะเลยทุกข์
........
พระอรหันต์เพิลบ่ถือมันเลยอาการกำหนดหมายจั่งใด๋กะเด้ย ภูมิธรรมเพิลกะเลยสามารถสิสอนคนอื่นว่า "สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ" แปลว่า ธรรมทั้งปวงอันบุคคลไม่ควรถือมั่น
........
และคนขุมื้อหนิทุกข์เพราะปรุงแต่งอารมณ์ความสุขใส่ใจบ่เป็น (อารมณ์ความสุขกะคือสติปัฏฐาน๔)
แต่ปรุงแต่งอารมณ์ความทุกข์ใส่ใจ (อารมณ์ความทุกข์กะคือนิวรณ์๕)
พระสัมมาสัมพุทธะ เพิลสอนให้ละอกุศล
คือให้ละโดยการรู้ก่อนว่ามันคืออะไร เรียกว่าญาตปริญญา
เมื่อรอบรู้ในทุกข์แล้ว
ก็ให้รอบรู้ลึกลงไปอีก ว่ามีเหตุมาจากผัสสะตัวไหน
จากการเห็นแล้วต่อจากนั้นก็มีโมหะความหลง คือหลงปรุงแต่งทุกข์เผาใจนี้หรอ
หรือ
จากการได้ยินเสียงแล้วต่อจากนั้นก็มีโมหะความหลง คือหลงปรุงแต่งทุกข์เผาใจนี้หรอ
หรือจากการได้กลิ่นแล้วต่อจากนั้นก็มีโมหะความหลง คือหลงปรุงแต่งทุกข์เผาใจนี้หรอ
หรือจากการได้รู้รสชาติแล้วต่อจากนั้นก็มีโมหะความหลง คือหลงปรุงแต่งทุกข์เผาใจนี้หรอ
หรือจากการได้รู้โผฏฐัพพะ(อะไรมาถูกกายนิดๆหน่อยหรือแรงๆ)แล้วต่อจากนั้นก็มีโมหะความหลง คือหลงปรุงแต่งทุกข์เผาใจนี้หรอ
หรือจากการได้รู้ธัมมารมณ์ (เรื่องราวเหตุการในอดีต มันปุ๊บขึ้นมาทางใจ แล้วต่อจากนั้นก็มีโมหะความหลง คือหลงปรุงแต่งทุกข์เผาใจนี้หรอ
เมื่อรู้ว่า มันทุกข์เพราะมีเหตุมาจากผัสสะข้อไหน
ก็เรียกว่าเสร็จกิจในข้อ #ตรีรณะปริญญา
ต่อไปเป็นปหานะปริญญา
คือเมื่อรู้แล้วว่าทุกข์มันเกิดจากอวิชชาสัมผัสข้อไหน
ข้อเห็นรูป หรือข้อได้ยินเสียง หรือข้อได้กลิ่น หรือข้อได้รู้รสชาติ หรือข้อรู้โผฏฐัพพะ หรือข้อรู้ธัมมารมณ์ ก็ทำการละทุกข์ทิ้งเสียด้วยอริยะมรรคมีองค์แปด เช่น เดินจงกลม ,ทำสมาธิ , ก็คือทำกรรมฐานข้อไหนก็ได้ตามที่ถูกจริต มีให้เลือกตั้ง ๔๐ ข้อ บางท่านว่ากรรมฐานมีมากกว่าสี่สิบ
ทั้งนี้เพราะเขาอาจทำวิธีที่ไม่ใช่ในข้อกรรมฐานสี่สิบ จึงกล้าพูดว่ามีมากกว่าสี่สิบ
โดยร่วมแล้วก็คือ เพื่อให้เซาหลงปรุงแต่งกระแสนิวรณ์๕ เพราะกระแสนิวรณ์๕พระพุทธเจ้าตรัสว่ามันคืออกุศลที่แท้จริง โลภโกธหลง ราคะโทสะ ก็รวมอยู่ในนั้น
แล้วให้ปรุงแต่งกระแสที่เป็นศีลสมาธิปัญญา
เบื้องต้นคือกระแสหยุดกายทุจริจ วจีทุจริต
แล้วต่อจากนั้นก็ขึ้นมาที่ปรุงกระแสมโนสุจริตแทนมโนทุจริต อันได้แก่อุปจาระสมาธิ อัปนาสมาธิ และขึ้นมาที่ กระแสคล้อยตามเห็นตามว่ามันไม่เที่ยง มันทนอยู่ในสภาวะเดิมไม่ได้ มันบังคับบัญชาไม่ได้
ธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่อาจลงไปมีอำนาจในขันธะสันดานของคนที่ไม่มีสัมมาศรัทธา ไม่มีสัมมาวิริยะ ไม่มีสัมมาสติ ไม่มีสัมมาสมาธิ ไม่มีสัมมาปัญญา
เหมือนคำหลวงปู่มั่นว่า
"แม้จะป้อนให้ก็เหมือนสาดน้ำใส่หลังหมา หมามันย่อมสบัดน้ำนั่นทิ้ง"
มันกะเลยทุกข์
........
พระอรหันต์เพิลบ่ถือมันเลยอาการกำหนดหมายจั่งใด๋กะเด้ย ภูมิธรรมเพิลกะเลยสามารถสิสอนคนอื่นว่า "สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ" แปลว่า ธรรมทั้งปวงอันบุคคลไม่ควรถือมั่น
........
และคนขุมื้อหนิทุกข์เพราะปรุงแต่งอารมณ์ความสุขใส่ใจบ่เป็น (อารมณ์ความสุขกะคือสติปัฏฐาน๔)
แต่ปรุงแต่งอารมณ์ความทุกข์ใส่ใจ (อารมณ์ความทุกข์กะคือนิวรณ์๕)
พระสัมมาสัมพุทธะ เพิลสอนให้ละอกุศล
คือให้ละโดยการรู้ก่อนว่ามันคืออะไร เรียกว่าญาตปริญญา
เมื่อรอบรู้ในทุกข์แล้ว
ก็ให้รอบรู้ลึกลงไปอีก ว่ามีเหตุมาจากผัสสะตัวไหน
จากการเห็นแล้วต่อจากนั้นก็มีโมหะความหลง คือหลงปรุงแต่งทุกข์เผาใจนี้หรอ
หรือ
จากการได้ยินเสียงแล้วต่อจากนั้นก็มีโมหะความหลง คือหลงปรุงแต่งทุกข์เผาใจนี้หรอ
หรือจากการได้กลิ่นแล้วต่อจากนั้นก็มีโมหะความหลง คือหลงปรุงแต่งทุกข์เผาใจนี้หรอ
หรือจากการได้รู้รสชาติแล้วต่อจากนั้นก็มีโมหะความหลง คือหลงปรุงแต่งทุกข์เผาใจนี้หรอ
หรือจากการได้รู้โผฏฐัพพะ(อะไรมาถูกกายนิดๆหน่อยหรือแรงๆ)แล้วต่อจากนั้นก็มีโมหะความหลง คือหลงปรุงแต่งทุกข์เผาใจนี้หรอ
หรือจากการได้รู้ธัมมารมณ์ (เรื่องราวเหตุการในอดีต มันปุ๊บขึ้นมาทางใจ แล้วต่อจากนั้นก็มีโมหะความหลง คือหลงปรุงแต่งทุกข์เผาใจนี้หรอ
เมื่อรู้ว่า มันทุกข์เพราะมีเหตุมาจากผัสสะข้อไหน
ก็เรียกว่าเสร็จกิจในข้อ #ตรีรณะปริญญา
ต่อไปเป็นปหานะปริญญา
คือเมื่อรู้แล้วว่าทุกข์มันเกิดจากอวิชชาสัมผัสข้อไหน
ข้อเห็นรูป หรือข้อได้ยินเสียง หรือข้อได้กลิ่น หรือข้อได้รู้รสชาติ หรือข้อรู้โผฏฐัพพะ หรือข้อรู้ธัมมารมณ์ ก็ทำการละทุกข์ทิ้งเสียด้วยอริยะมรรคมีองค์แปด เช่น เดินจงกลม ,ทำสมาธิ , ก็คือทำกรรมฐานข้อไหนก็ได้ตามที่ถูกจริต มีให้เลือกตั้ง ๔๐ ข้อ บางท่านว่ากรรมฐานมีมากกว่าสี่สิบ
ทั้งนี้เพราะเขาอาจทำวิธีที่ไม่ใช่ในข้อกรรมฐานสี่สิบ จึงกล้าพูดว่ามีมากกว่าสี่สิบ
โดยร่วมแล้วก็คือ เพื่อให้เซาหลงปรุงแต่งกระแสนิวรณ์๕ เพราะกระแสนิวรณ์๕พระพุทธเจ้าตรัสว่ามันคืออกุศลที่แท้จริง โลภโกธหลง ราคะโทสะ ก็รวมอยู่ในนั้น
แล้วให้ปรุงแต่งกระแสที่เป็นศีลสมาธิปัญญา
เบื้องต้นคือกระแสหยุดกายทุจริจ วจีทุจริต
แล้วต่อจากนั้นก็ขึ้นมาที่ปรุงกระแสมโนสุจริตแทนมโนทุจริต อันได้แก่อุปจาระสมาธิ อัปนาสมาธิ และขึ้นมาที่ กระแสคล้อยตามเห็นตามว่ามันไม่เที่ยง มันทนอยู่ในสภาวะเดิมไม่ได้ มันบังคับบัญชาไม่ได้
ธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่อาจลงไปมีอำนาจในขันธะสันดานของคนที่ไม่มีสัมมาศรัทธา ไม่มีสัมมาวิริยะ ไม่มีสัมมาสติ ไม่มีสัมมาสมาธิ ไม่มีสัมมาปัญญา
เหมือนคำหลวงปู่มั่นว่า
"แม้จะป้อนให้ก็เหมือนสาดน้ำใส่หลังหมา หมามันย่อมสบัดน้ำนั่นทิ้ง"
การอัพโหลดผ่านมือถือ
##ทุกอย่าง...ถ้าไม่ลงมือทำมีแต่คิดมีแต่พูด ก็ไม่สำเร็จถ้าไม่ลงมือกระทำ ##นักภาวนามัวแต่ไปสอนคนอื่น...ไม่สอนใจตน ไม่พูดกับตน ไม่ลงมือทำด้วยตน ไม่มีทางพบแสงสว่างแห่งธรรม ##เมื่อลงมือกระทำ...ให้เป็นธรรมด้วยตน ตนนั่นแลจะเป็นผู้ชำนาญ ผู้ช่ำชองถึงจะยุติธรรม ##ความยุติ...เกิดขึ้นอยู่ที่ใด ความเป็นธรรมก็เกิดขึ้นที่นั่น ##ความเป็นธรรมเกิดขึ้นอยู่ที่ใด...ความยุติก็เกิดขึ้นขึ้นที่นั่น จึงได้ชื่อว่า "ยุติธรรม" ^^ธรรมโอวาท หลวงพ่อพระอาจารย์หมี ฐานกโร^^ ณ วัดป่าอ้อมแก้วอรัญญาวาส ต.น้ำจั่น อ.เซกา จ.บึงกาฬ ให้ไว้เมื่อ ๖ ม.ค. ๒๕๖๐ คณะญาติโยมจาก จ.ยโสธร มากราบนมัสการ
##ทุกอย่าง...ถ้าไม่ลงมือทำมีแต่คิดมีแต่พูด ก็ไม่สำเร็จถ้าไม่ลงมือกระทำ
##นักภาวนามัวแต่ไปสอนคนอื่น...ไม่สอนใจตน ไม่พูดกับตน ไม่ลงมือทำด้วยตน ไม่มีทางพบแสงสว่างแห่งธรรม
##เมื่อลงมือกระทำ...ให้เป็นธรรมด้วยตน ตนนั่นแลจะเป็นผู้ชำนาญ ผู้ช่ำชองถึงจะยุติธรรม
##ความยุติ...เกิดขึ้นอยู่ที่ใด ความเป็นธรรมก็เกิดขึ้นที่นั่น
##ความเป็นธรรมเกิดขึ้นอยู่ที่ใด...ความยุติก็เกิดขึ้นขึ้นที่นั่น จึงได้ชื่อว่า "ยุติธรรม"
^^ธรรมโอวาท หลวงพ่อพระอาจารย์หมี ฐานกโร^^
ณ วัดป่าอ้อมแก้วอรัญญาวาส ต.น้ำจั่น อ.เซกา จ.บึงกาฬ
ให้ไว้เมื่อ ๖ ม.ค. ๒๕๖๐
คณะญาติโยมจาก จ.ยโสธร มากราบนมัสการ
##นักภาวนามัวแต่ไปสอนคนอื่น...ไม่สอนใจตน ไม่พูดกับตน ไม่ลงมือทำด้วยตน ไม่มีทางพบแสงสว่างแห่งธรรม
##เมื่อลงมือกระทำ...ให้เป็นธรรมด้วยตน ตนนั่นแลจะเป็นผู้ชำนาญ ผู้ช่ำชองถึงจะยุติธรรม
##ความยุติ...เกิดขึ้นอยู่ที่ใด ความเป็นธรรมก็เกิดขึ้นที่นั่น
##ความเป็นธรรมเกิดขึ้นอยู่ที่ใด...ความยุติก็เกิดขึ้นขึ้นที่นั่น จึงได้ชื่อว่า "ยุติธรรม"
^^ธรรมโอวาท หลวงพ่อพระอาจารย์หมี ฐานกโร^^
ณ วัดป่าอ้อมแก้วอรัญญาวาส ต.น้ำจั่น อ.เซกา จ.บึงกาฬ
ให้ไว้เมื่อ ๖ ม.ค. ๒๕๖๐
คณะญาติโยมจาก จ.ยโสธร มากราบนมัสการ
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
พรุ่งนี้ต้องไปลงทะเบียนที่หนองป่าพง....
สิ่งที่พิเศษช่วงที่อยู่หนองป่าพง ใครไม่เจอไม่รู้หรอก ก็คือเวลาฟังเทศณ์ของหลวงพ่อเลี่ยม เราเข้าใจว่า
ท่านมีญาณหยั่งรู้จิตใจทั้งอดีตและปัจจุบันของพระทุกองค์ที่อยู่ในนั้นที่ฟังเทศณ์อยู่ในศาลาหรือหอฉัน
เช่นถ้าวันนี้เราคิดอะไรไว้
แล้วพรุ่งนี้ไปหาท่าน ก็ทราบความคิดที่เราคิดในเมื่อวาน
และนอกนั้นก็คือ ที่เราคิดว่าท่านมี
คือ ทิพย์จักษุ หรือภาษาชาวบ้านก็คือมีตาทิพย์ มองเห็นทะลุปุโปร่ง แม้อยู่ในที่ลับ
และ ทิพย์โสตะ ก็คือ หูทิพย์สามารถได้ยินเสียงมนุษย์และเสียงเทวดา
และ ปากทิพย์
........................
และช่วงที่ไปอุปฐากท่านเราเคยถามธรรมะว่า
"หลวงพ่อครับ ถ้าสมมุติว่าเราเดินบิณฑบาตร โยมเขาก็ใส่บาตรให้ แล้วในขณะที่โยมเขาใส่บาตรตามันก็มองใบหน้าคนที่ใส่ .......
แล้วจากนั้นโยมเขาก็ใส่เสร็จ
แล้วเราก็เดินจากโยมไปข้างหน้า
แล้วไอ้ภาพใบหน้าโยมมันปรากฏทางมโนทวาร
แล้วเราต้องทำยังไงครับ
หลวงพ่อ : เห็นแล้วเป็นจั่งใด๋ (เดี่ยวนี่เฮาเข้าใจความหมายที่หลวงพ่อว่า เห็นแล้วเป็นจั่งใด กะคือเห็นแล้วราคะเกิดเบาะ หรือเห็นแล้วเฉยๆ)
เรา : เห็นแล้วมันเป็นภาพทางมโนทวารครับ
#ขอข้ามเพราะจำไม่ค่อยได้#
จากนั้นหลวงพ่อก็เอาหนังสือให้ 1 เล่ม
แล้วบอกว่า "เอาไปเปิดเบิ่ง"
แล้วเราก็เอามาเปิดดู ก็เป็นภาพหัวกระโหลกคนและท่านก็พูดว่า "เบิ่งแล้วให้พิจารณาให้เกิดความเบื่อหน่ายคลายความกำหนัด"
เราก็ดูและพิจารณา แต่ไม่คลายความกำหนัดเลย..!
#สรุปว่า เราไปอาศัยที่หนองป่าพง มีแต่ได้กับได้
1ได้ฟังธรรมะในระดับไม่ธรรมดา
2ได้ทำทานกับคณะสงฆ์ซึ่งมีหลวงพ่อเป็นประทาน
3ได้พวกบริขาร บาตรบ่ม ผ้าอังสะ ผ้าสบง ย่าม ผ้าอาบน้ำ และอื่นๆอีก
แท้ที่จริงแล้ว เราไปอยู่ที่นั่นก็ไม่ใช่ว่าจะมีความภาวะเหมือนอยู่วัดบ้านคืออิสระในความเคยชินเหมือนอยู่ที่วัดบ้าน เพราะที่หนองป่าพงมีข้อวัตรที่ขัดเกลากิเลสมาก เช่นตื่นตีสามทำวัตรเช้า และฉันเสร็จเดินเพ่นพานไม่ได้เลย และส่งเสียงดังไม่ได้เลยแม้ในกลางวัน ไม่ต้องกล่าวถึงกลางคืน ช่วงเข้าพรรษา มีข้อวัตรให้คือ ทำสมาธิ 3 เวลา
1 ตอนหลังทำวัตรเช้าและสาธยายพระสูตรและแผ่เมตตาอุทิศบุญ เป็นเวลาให้นั่งทำสมาธิ
2 ตอนบ่ายหนึ่งไปถึงบ่ายสอง ก็เป็นเวลาให้นั่งทำสมาธิ
3 ตอนเย็นหลังทำวัตรสาธยายพระสูตรและแผ่เมตตาอุทิศบุญ ก็เป็นเวลาให้นั่งทำสมาธิ แต่บางองค์ก็ไปเดินจงกลม
.... คงยาวถ้าจะพิมพ์ให้จบ พอแค่นี้ก่อนเด้อ แจ้งนี่สิฉันจั่งหั่นเช้าในวัดแล้วจากนั้นกะสิกราบลาเพิลและ.. เว้าเรื่องการจำพรรษา๕ เพราะว่าตอนนี้ยังไม่ปักลงว่าจะเข้าที่วัดไหน แต่เล็งๆไว้ว่า อุดร เป็นวัดสายหลวงตาพระมหาบัว ซึ่งเราเห็นว่า เราชอบแบบข้อวัตรไม่เยอะ งานไม่เยอะ จากที่เคยพบข้อมูล วัดป่าบ้านตาดมีกิจน้อยเน้นให้ภาวนาทำความเพียร
สิ่งที่พิเศษช่วงที่อยู่หนองป่าพง ใครไม่เจอไม่รู้หรอก ก็คือเวลาฟังเทศณ์ของหลวงพ่อเลี่ยม เราเข้าใจว่า
ท่านมีญาณหยั่งรู้จิตใจทั้งอดีตและปัจจุบันของพระทุกองค์ที่อยู่ในนั้นที่ฟังเทศณ์อยู่ในศาลาหรือหอฉัน
เช่นถ้าวันนี้เราคิดอะไรไว้
แล้วพรุ่งนี้ไปหาท่าน ก็ทราบความคิดที่เราคิดในเมื่อวาน
และนอกนั้นก็คือ ที่เราคิดว่าท่านมี
คือ ทิพย์จักษุ หรือภาษาชาวบ้านก็คือมีตาทิพย์ มองเห็นทะลุปุโปร่ง แม้อยู่ในที่ลับ
และ ทิพย์โสตะ ก็คือ หูทิพย์สามารถได้ยินเสียงมนุษย์และเสียงเทวดา
และ ปากทิพย์
........................
และช่วงที่ไปอุปฐากท่านเราเคยถามธรรมะว่า
"หลวงพ่อครับ ถ้าสมมุติว่าเราเดินบิณฑบาตร โยมเขาก็ใส่บาตรให้ แล้วในขณะที่โยมเขาใส่บาตรตามันก็มองใบหน้าคนที่ใส่ .......
แล้วจากนั้นโยมเขาก็ใส่เสร็จ
แล้วเราก็เดินจากโยมไปข้างหน้า
แล้วไอ้ภาพใบหน้าโยมมันปรากฏทางมโนทวาร
แล้วเราต้องทำยังไงครับ
หลวงพ่อ : เห็นแล้วเป็นจั่งใด๋ (เดี่ยวนี่เฮาเข้าใจความหมายที่หลวงพ่อว่า เห็นแล้วเป็นจั่งใด กะคือเห็นแล้วราคะเกิดเบาะ หรือเห็นแล้วเฉยๆ)
เรา : เห็นแล้วมันเป็นภาพทางมโนทวารครับ
#ขอข้ามเพราะจำไม่ค่อยได้#
จากนั้นหลวงพ่อก็เอาหนังสือให้ 1 เล่ม
แล้วบอกว่า "เอาไปเปิดเบิ่ง"
แล้วเราก็เอามาเปิดดู ก็เป็นภาพหัวกระโหลกคนและท่านก็พูดว่า "เบิ่งแล้วให้พิจารณาให้เกิดความเบื่อหน่ายคลายความกำหนัด"
เราก็ดูและพิจารณา แต่ไม่คลายความกำหนัดเลย..!
#สรุปว่า เราไปอาศัยที่หนองป่าพง มีแต่ได้กับได้
1ได้ฟังธรรมะในระดับไม่ธรรมดา
2ได้ทำทานกับคณะสงฆ์ซึ่งมีหลวงพ่อเป็นประทาน
3ได้พวกบริขาร บาตรบ่ม ผ้าอังสะ ผ้าสบง ย่าม ผ้าอาบน้ำ และอื่นๆอีก
แท้ที่จริงแล้ว เราไปอยู่ที่นั่นก็ไม่ใช่ว่าจะมีความภาวะเหมือนอยู่วัดบ้านคืออิสระในความเคยชินเหมือนอยู่ที่วัดบ้าน เพราะที่หนองป่าพงมีข้อวัตรที่ขัดเกลากิเลสมาก เช่นตื่นตีสามทำวัตรเช้า และฉันเสร็จเดินเพ่นพานไม่ได้เลย และส่งเสียงดังไม่ได้เลยแม้ในกลางวัน ไม่ต้องกล่าวถึงกลางคืน ช่วงเข้าพรรษา มีข้อวัตรให้คือ ทำสมาธิ 3 เวลา
1 ตอนหลังทำวัตรเช้าและสาธยายพระสูตรและแผ่เมตตาอุทิศบุญ เป็นเวลาให้นั่งทำสมาธิ
2 ตอนบ่ายหนึ่งไปถึงบ่ายสอง ก็เป็นเวลาให้นั่งทำสมาธิ
3 ตอนเย็นหลังทำวัตรสาธยายพระสูตรและแผ่เมตตาอุทิศบุญ ก็เป็นเวลาให้นั่งทำสมาธิ แต่บางองค์ก็ไปเดินจงกลม
.... คงยาวถ้าจะพิมพ์ให้จบ พอแค่นี้ก่อนเด้อ แจ้งนี่สิฉันจั่งหั่นเช้าในวัดแล้วจากนั้นกะสิกราบลาเพิลและ.. เว้าเรื่องการจำพรรษา๕ เพราะว่าตอนนี้ยังไม่ปักลงว่าจะเข้าที่วัดไหน แต่เล็งๆไว้ว่า อุดร เป็นวัดสายหลวงตาพระมหาบัว ซึ่งเราเห็นว่า เราชอบแบบข้อวัตรไม่เยอะ งานไม่เยอะ จากที่เคยพบข้อมูล วัดป่าบ้านตาดมีกิจน้อยเน้นให้ภาวนาทำความเพียร
การอัพโหลดผ่านมือถือ
อสุภะกรรมฐาน อันบุคคลใดเจริญแล้วใจเกิดความสงบ พึงเจริญเถิด เมื่อเจริญแล้วใจสงบแล้ว ก็ใช้ใจที่สงบนั้นนั่นแหละพิจารณา ว่าการยกการสร้างนิมิตอสุภะขึ้น เป็นการทำงานเป็นสสังขาร ควรวางลงบ้าง หยุดทำการสร้างอสุภะนิมิตบ้าง คือการพักการวาดภาพขึ้น ..... แล้วพึงอย่าพึ่งทิ้งการสร้างการวาดภาพอสุภะนิมิตนั้นที่เคยทำ ควรทำการสร้างบ้าง ควรหยุดการสร้างบ้าง เพื่อจะเห็นอาการทะเยอทะยานปรุงสร้างภาพ และเห็นอาการหยุดปรุงการสร้างภาพ ก็จะเห็นว่าทั้งสองอาการไม่เที่ยง ไม่น่ายินดีเลยการปรุงแต่ง
อสุภะกรรมฐาน อันบุคคลใดเจริญแล้วใจเกิดความสงบ พึงเจริญเถิด เมื่อเจริญแล้วใจสงบแล้ว ก็ใช้ใจที่สงบนั้นนั่นแหละพิจารณา ว่าการยกการสร้างนิมิตอสุภะขึ้น เป็นการทำงานเป็นสสังขาร ควรวางลงบ้าง หยุดทำการสร้างอสุภะนิมิตบ้าง คือการพักการวาดภาพขึ้น ..... แล้วพึงอย่าพึ่งทิ้งการสร้างการวาดภาพอสุภะนิมิตนั้นที่เคยทำ ควรทำการสร้างบ้าง ควรหยุดการสร้างบ้าง เพื่อจะเห็นอาการทะเยอทะยานปรุงสร้างภาพ และเห็นอาการหยุดปรุงการสร้างภาพ ก็จะเห็นว่าทั้งสองอาการไม่เที่ยง ไม่น่ายินดีเลยการปรุงแต่ง
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้อัพเดตสถานะของเขา
เราเองที่ไปให้ค่าเขาเอง หมายมั่น มั่นหมายเขา ว่าเป็นต่างๆนาๆ แล้วก็หลงหมายจนเป็นโทษคือเกิดทุกข์ขึ้นมาเผาใจ ไปสำคัญมั่นหมาย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ / จนเกิดเป็นทุกขะธัมมารมณ์(ธัมมารมณ์ที่เป็นทุกข์) และมโนวิญญาณที่สัมประยุติกับธัมมารมณ์อันเป็นความทุกข์ใจ
ใจแบบพระ
คือใจที่ มีสติสัมประชัญญะมีความรู้ตัวทั่วพร้อมไม่หลงไม่ลืม ระลึกถึงกิจที่เคยทำวาจาที่เคยพูดแล้วแม้นานได้ เป็นต้น เจริญพร/////
คือใจที่ มีสติสัมประชัญญะมีความรู้ตัวทั่วพร้อมไม่หลงไม่ลืม ระลึกถึงกิจที่เคยทำวาจาที่เคยพูดแล้วแม้นานได้ เป็นต้น เจริญพร/////
คุณได้แท็ก หนูสิน สมหมั่น
การอัพโหลดผ่านมือถือ
ความสุขใจนั้นมันคือกระแสที่จิตปรุงแต่งออกมา หาใช่รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะไม่ที่เป็นความสุข รูปเขาหากเป็นอยู่อย่างนั้น อนิจจังอยู่เช่นนั้น เสียงเขาหากเป็นอยู่อย่างนั้น อนิจจังอยู่เช่นนั้น กลิ่นเขาหากเป็นอยู่อย่างนั้น อนิจจังอยู่เช่นนั้น รสเขาหากเป็นอยู่อย่างนั้น อนิจจังอยู่เช่นนั้น โผฏฐัพพะเขาหากเป็นอยู่อย่างนั้น อนิจจังอยู่เช่นนั้น ไม่ปรากฏว่าเขาบอกว่าเขาสุขเขาทุกข์ เขาเป็นเพียงแต่อาการ แต่จิตใจที่ยังมีอวิชชาโมหะความหลงที่ ไม่รู้ตามความเป็นจริง จึงโง่หลงปรุงแต่งทุกข์เผารนให้เร่าร้อนจิตใจ แทนที่จะฉลาดปรุงแต่งความสุข ความเย็น ขึ้นมาให้จิตใจนี่เย็น แต่สุขที่อาศัยรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะนั่นก็เป็นความสุขอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า สุขที่อิ่งอาศัยอามิส ต้องคอยประคับประครองให้มีมาให้อายตนะภายใน ประสบ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ผู้ใดอยากพบความเย็นใจ พึงน้อมนำพระธรรม มาปฏิบัติที่จิตใจตน เรียกว่าละอกุศลธรรมนั่นเองคือการปฏิบัติธรรม ราคะละได้ด้วยอสุภะ โทสะละได้ด้วยเมตตา โมหะละได้ด้วยโยนิโสมนสิการ คิดแล้วเป็นทุกข์ พึงละได้ด้วยคิดถึงบุญกุศลความดีที่ตนเคยทำไว้ในกาลก่อน คิดบ่อยๆ เมื่อคิดบ่อยๆนั่นแหละคือการพยามใส่เหตุหรือสร้างเหตุให้จิตปรุงแต่งภาวะที่เป็นกุศล ผลคือความสุขเย็นใจ ถ้าคิดถึงบาปมันทุกข์ ก็คิดถึงการกระทำที่ตนเคยทำบุญกุศลในคราวก่อนกาลก่อนบ่อยๆ นั้นนั่นแลคือการสร้างเหตุให้จิตปรุงแต่งให้เป็นความสุขเย็นใจ เจริญพร////
ความสุขใจนั้นมันคือกระแสที่จิตปรุงแต่งออกมา หาใช่รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะไม่ที่เป็นความสุข
รูปเขาหากเป็นอยู่อย่างนั้น อนิจจังอยู่เช่นนั้น
เสียงเขาหากเป็นอยู่อย่างนั้น อนิจจังอยู่เช่นนั้น
กลิ่นเขาหากเป็นอยู่อย่างนั้น อนิจจังอยู่เช่นนั้น
รสเขาหากเป็นอยู่อย่างนั้น อนิจจังอยู่เช่นนั้น
โผฏฐัพพะเขาหากเป็นอยู่อย่างนั้น อนิจจังอยู่เช่นนั้น
ไม่ปรากฏว่าเขาบอกว่าเขาสุขเขาทุกข์
เขาเป็นเพียงแต่อาการ แต่จิตใจที่ยังมีอวิชชาโมหะความหลงที่ ไม่รู้ตามความเป็นจริง
จึงโง่หลงปรุงแต่งทุกข์เผารนให้เร่าร้อนจิตใจ
แทนที่จะฉลาดปรุงแต่งความสุข ความเย็น ขึ้นมาให้จิตใจนี่เย็น
แต่สุขที่อาศัยรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะนั่นก็เป็นความสุขอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า สุขที่อิ่งอาศัยอามิส ต้องคอยประคับประครองให้มีมาให้อายตนะภายใน ประสบ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ผู้ใดอยากพบความเย็นใจ พึงน้อมนำพระธรรม มาปฏิบัติที่จิตใจตน เรียกว่าละอกุศลธรรมนั่นเองคือการปฏิบัติธรรม
ราคะละได้ด้วยอสุภะ
โทสะละได้ด้วยเมตตา
โมหะละได้ด้วยโยนิโสมนสิการ
คิดแล้วเป็นทุกข์ พึงละได้ด้วยคิดถึงบุญกุศลความดีที่ตนเคยทำไว้ในกาลก่อน คิดบ่อยๆ เมื่อคิดบ่อยๆนั่นแหละคือการพยามใส่เหตุหรือสร้างเหตุให้จิตปรุงแต่งภาวะที่เป็นกุศล ผลคือความสุขเย็นใจ
ถ้าคิดถึงบาปมันทุกข์ ก็คิดถึงการกระทำที่ตนเคยทำบุญกุศลในคราวก่อนกาลก่อนบ่อยๆ นั้นนั่นแลคือการสร้างเหตุให้จิตปรุงแต่งให้เป็นความสุขเย็นใจ
เจริญพร////
รูปเขาหากเป็นอยู่อย่างนั้น อนิจจังอยู่เช่นนั้น
เสียงเขาหากเป็นอยู่อย่างนั้น อนิจจังอยู่เช่นนั้น
กลิ่นเขาหากเป็นอยู่อย่างนั้น อนิจจังอยู่เช่นนั้น
รสเขาหากเป็นอยู่อย่างนั้น อนิจจังอยู่เช่นนั้น
โผฏฐัพพะเขาหากเป็นอยู่อย่างนั้น อนิจจังอยู่เช่นนั้น
ไม่ปรากฏว่าเขาบอกว่าเขาสุขเขาทุกข์
เขาเป็นเพียงแต่อาการ แต่จิตใจที่ยังมีอวิชชาโมหะความหลงที่ ไม่รู้ตามความเป็นจริง
จึงโง่หลงปรุงแต่งทุกข์เผารนให้เร่าร้อนจิตใจ
แทนที่จะฉลาดปรุงแต่งความสุข ความเย็น ขึ้นมาให้จิตใจนี่เย็น
แต่สุขที่อาศัยรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะนั่นก็เป็นความสุขอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า สุขที่อิ่งอาศัยอามิส ต้องคอยประคับประครองให้มีมาให้อายตนะภายใน ประสบ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ผู้ใดอยากพบความเย็นใจ พึงน้อมนำพระธรรม มาปฏิบัติที่จิตใจตน เรียกว่าละอกุศลธรรมนั่นเองคือการปฏิบัติธรรม
ราคะละได้ด้วยอสุภะ
โทสะละได้ด้วยเมตตา
โมหะละได้ด้วยโยนิโสมนสิการ
คิดแล้วเป็นทุกข์ พึงละได้ด้วยคิดถึงบุญกุศลความดีที่ตนเคยทำไว้ในกาลก่อน คิดบ่อยๆ เมื่อคิดบ่อยๆนั่นแหละคือการพยามใส่เหตุหรือสร้างเหตุให้จิตปรุงแต่งภาวะที่เป็นกุศล ผลคือความสุขเย็นใจ
ถ้าคิดถึงบาปมันทุกข์ ก็คิดถึงการกระทำที่ตนเคยทำบุญกุศลในคราวก่อนกาลก่อนบ่อยๆ นั้นนั่นแลคือการสร้างเหตุให้จิตปรุงแต่งให้เป็นความสุขเย็นใจ
เจริญพร////
การอัพโหลดผ่านมือถือ
ปฏิจสมุปบาท คือ อาการของจิตที่เปลี่ยนแปลง คำศัพท์บัญญัติ ในพระสูตรปฏิจสมุปบาท เช่น สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ก็คือคือ อาการของจิต แม้ในหมวดธรรมในด้านปัญจขันธ์ ที่เป็นเป็นส่วนนามธรรม คือ เวทนา สัญญา เจตนา สังขาร วิญญาณ ก็คืออาการของจิต ฉะนั้น ผู้ศึกษาอาการของจิตจนแจ้มแจ้ง ก็เรียกว่า ผู้แจ้มแจ้งแล้วในปฏิจสมุบาท แม้ไม่รู้จักชื่อสมมุติบัญญัติหมาย ว่า อาการนี้ให้คำสมมุติบัญญัติว่าเวทนา อาการนี้ให้คำสมมุติบัญญัติว่าสัญญา อาการนี้ให้คำสมมุติบัญญัติว่าสังขาร อาการนี้ให้คำสมมุติบัญญัติว่าวิญญาณ ดังนั้นผู้ศึกษาอาการของจิต ก็คือผู้ศึกษาปฏิจสมุบาทของจริง #มีแต่พระอรหันต์ที่แจ่มแจ้งแล้วในปฏิจสมุปบาทในระดับมรรคคา / เจริญพร / ท่านผู้ใฝ่ในธรรม
ปฏิจสมุปบาท คือ อาการของจิตที่เปลี่ยนแปลง
คำศัพท์บัญญัติ ในพระสูตรปฏิจสมุปบาท เช่น สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ก็คือคือ อาการของจิต
แม้ในหมวดธรรมในด้านปัญจขันธ์ ที่เป็นเป็นส่วนนามธรรม คือ เวทนา สัญญา เจตนา สังขาร วิญญาณ ก็คืออาการของจิต
ฉะนั้น ผู้ศึกษาอาการของจิตจนแจ้มแจ้ง ก็เรียกว่า ผู้แจ้มแจ้งแล้วในปฏิจสมุบาท แม้ไม่รู้จักชื่อสมมุติบัญญัติหมาย ว่า อาการนี้ให้คำสมมุติบัญญัติว่าเวทนา อาการนี้ให้คำสมมุติบัญญัติว่าสัญญา อาการนี้ให้คำสมมุติบัญญัติว่าสังขาร อาการนี้ให้คำสมมุติบัญญัติว่าวิญญาณ ดังนั้นผู้ศึกษาอาการของจิต ก็คือผู้ศึกษาปฏิจสมุบาทของจริง #มีแต่พระอรหันต์ที่แจ่มแจ้งแล้วในปฏิจสมุปบาทในระดับมรรคคา
/ เจริญพร / ท่านผู้ใฝ่ในธรรม
คำศัพท์บัญญัติ ในพระสูตรปฏิจสมุปบาท เช่น สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ก็คือคือ อาการของจิต
แม้ในหมวดธรรมในด้านปัญจขันธ์ ที่เป็นเป็นส่วนนามธรรม คือ เวทนา สัญญา เจตนา สังขาร วิญญาณ ก็คืออาการของจิต
ฉะนั้น ผู้ศึกษาอาการของจิตจนแจ้มแจ้ง ก็เรียกว่า ผู้แจ้มแจ้งแล้วในปฏิจสมุบาท แม้ไม่รู้จักชื่อสมมุติบัญญัติหมาย ว่า อาการนี้ให้คำสมมุติบัญญัติว่าเวทนา อาการนี้ให้คำสมมุติบัญญัติว่าสัญญา อาการนี้ให้คำสมมุติบัญญัติว่าสังขาร อาการนี้ให้คำสมมุติบัญญัติว่าวิญญาณ ดังนั้นผู้ศึกษาอาการของจิต ก็คือผู้ศึกษาปฏิจสมุบาทของจริง #มีแต่พระอรหันต์ที่แจ่มแจ้งแล้วในปฏิจสมุปบาทในระดับมรรคคา
/ เจริญพร / ท่านผู้ใฝ่ในธรรม
พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ ได้แพร่ภาพสด
กายคตาสติสูตร ถ้าทำถูกต้องสำเร็จบรรลุผล จิตใจ เจตสิก หรือ นามธรรม จะเป็นจิตที่เบามีความสว่าง ไม่ว่าจะปฏิบัติสัญญาที่เป็น รูปสัญญา หรือ นามสัญญา รูปสัญญา คือ การกำหนดไปที่กาย มีหมวดสัมประชัญญะบรรพะ อิริยาบรรพะ อานาปานบรรพะ นามสัญญา คือ การกำหนดไปที่นาม มีหมวด อัฏฐิกะสัญญา ปุฬุวกะสัญญา ไปจนถึง กระดูกแปรสภาพเป็นธุลี ถ้าเดินจรงกลมจนนิวรณ์ ๕ หายดับหมด เหลือแต่สภาวะใจที่ไม่สุขไม่ทุกข์ นั่งแสดงว่าจิตรวมลงเป็นอุปจาระสมาธิแล้ว และถ้าสวดมนต์จนเกิดอาการเหมือนกับว่า เป็นผู้รู้ การปรุงแต่งสวดมนต์ สวดมนต์ก็เป็นอาการอยู่ต่างหากจาก เหมือนดูเห็นอยู่เฉยๆเหมือนไม่ได้เป็นคนสวด นั่นแสดงว่ามีสติทันการปรุงแต่งของจิต ที่ปรุงบทสวดขึ้นมา บทสวดก็มาจากจิตนั่นแหละปรุงขึ้นมา
สถานที่: ระยอง (12.6742, 101.279)
ที่อยู่: เทศบาลนครระยอง
กายคตาสติสูตร ถ้าทำถูกต้องสำเร็จบรรลุผล จิตใจ เจตสิก หรือ นามธรรม จะเป็นจิตที่เบามีความสว่าง
ไม่ว่าจะปฏิบัติสัญญาที่เป็น รูปสัญญา หรือ นามสัญญา
รูปสัญญา คือ การกำหนดไปที่กาย มีหมวดสัมประชัญญะบรรพะ อิริยาบรรพะ อานาปานบรรพะ
นามสัญญา คือ การกำหนดไปที่นาม มีหมวด อัฏฐิกะสัญญา ปุฬุวกะสัญญา ไปจนถึง กระดูกแปรสภาพเป็นธุลี
ถ้าเดินจรงกลมจนนิวรณ์ ๕ หายดับหมด
เหลือแต่สภาวะใจที่ไม่สุขไม่ทุกข์
นั่งแสดงว่าจิตรวมลงเป็นอุปจาระสมาธิแล้ว
และถ้าสวดมนต์จนเกิดอาการเหมือนกับว่า เป็นผู้รู้ การปรุงแต่งสวดมนต์ สวดมนต์ก็เป็นอาการอยู่ต่างหากจาก เหมือนดูเห็นอยู่เฉยๆเหมือนไม่ได้เป็นคนสวด
นั่นแสดงว่ามีสติทันการปรุงแต่งของจิต ที่ปรุงบทสวดขึ้นมา บทสวดก็มาจากจิตนั่นแหละปรุงขึ้นมา
ไม่ว่าจะปฏิบัติสัญญาที่เป็น รูปสัญญา หรือ นามสัญญา
รูปสัญญา คือ การกำหนดไปที่กาย มีหมวดสัมประชัญญะบรรพะ อิริยาบรรพะ อานาปานบรรพะ
นามสัญญา คือ การกำหนดไปที่นาม มีหมวด อัฏฐิกะสัญญา ปุฬุวกะสัญญา ไปจนถึง กระดูกแปรสภาพเป็นธุลี
ถ้าเดินจรงกลมจนนิวรณ์ ๕ หายดับหมด
เหลือแต่สภาวะใจที่ไม่สุขไม่ทุกข์
นั่งแสดงว่าจิตรวมลงเป็นอุปจาระสมาธิแล้ว
และถ้าสวดมนต์จนเกิดอาการเหมือนกับว่า เป็นผู้รู้ การปรุงแต่งสวดมนต์ สวดมนต์ก็เป็นอาการอยู่ต่างหากจาก เหมือนดูเห็นอยู่เฉยๆเหมือนไม่ได้เป็นคนสวด
นั่นแสดงว่ามีสติทันการปรุงแต่งของจิต ที่ปรุงบทสวดขึ้นมา บทสวดก็มาจากจิตนั่นแหละปรุงขึ้นมา
การอัพโหลดผ่านมือถือ
###[ พิจารณาดีๆจะเห็นว่ามันคล้ายๆปัจจยาการธรรมที่เกิดจากธรรมหนึ่งๆ แล้วเป็นเหตุให้เกิดขันธ์ทีละขันธ์ขึ้นมา อันเรียกว่าปฏิจสมุปบาท ]### 1รูป~1วิญญาณ~1สัญญาหมายหมายว่าจุดๆ) แปรสภาพเป็นอายตนะที่หก } 1สัญญาหมายว่าจุดๆ ~ 1วิญญาณ ~ 1สัญญาหมายขึ้นมาใหม่ ~ 1วิญญาณ ฯลฯ และ 1รูปานามมารมณ์~1สัญญาหมาย ฯลฯ #และให้แตกออกคือพิจารณาอายตะอันอื่นต่อในทำนองเดียวกัน #หมายเหตุ ในที่นี้คือไม่ได้เอาเวทนามาใส่ ถ้าว่าตามปัจยาการจริงๆ ต้องเริ่มด้วย 1รูป 1วิญญาณ 1เวทนา 1สัญญา 1สังขาร ___________________________________ รูป ~ ธรรมชาติที่เห็นรูป ~ เวทนาความรู้สึก~ธรรมชาติที่เห็นเวทนา ~ สัญญาหมาย ~ ธรรมาชาติที่เห็นสัญญาหมาย ~ สังขารความคิดเป็นเรื่องเป็นราว:แล้วก็เกิดธรรมชาติที่เห็นสังขารความคิดเป็นเรื่องเป็นราว และก็เกิดธรรมชาติที่เห็นใหม่ขึ้นมาเพราะเหตุคือเกิดผัสสะ(ตา รูป จักขุวิญญา / หู เสียง โสตะวิญญาณ / จมูก กลิ่น ฆานะวิญญาณ / ชิวหา รส ชิวหาวิญญาณ / กาย โผฏฐัพพะ กายวิญญาณ / หรือยังเกิดวิญญาณที่เป็นภายในคือมโนวิญญาต่อไปอีก ผัสสะ รูปานามมารมณ์ วิญญาณที่เนื่องด้วยรูปานามมารมณ์ -> เจตนาที่เกิดต่อจากการที่วิญญาณประสบกับรูปปานามมารมณ์ (#ข้าพระเจ้าคิดว่า ตัวเจตนาตรงนี้นี่เองคือ ความอยาก แล้วไปตรงกับ สมุทัยสัจ) ผัสสะ สัทธานามมารมณ์ วิญญาณที่เนื่องด้วยสัทธานามมารมณ์ -> เจตนาที่เกิดต่อจากการที่วิญญาณประสบกับสัทธานามมารมณ์ (#ข้าพระเจ้าคิดว่า ตัวเจตนาตรงนี้นี่เองคือ ความอยาก แล้วไปตรงกับ สมุทัยสัจ) ผัสสะ คัณธานามมารมณ์ วิญญาณที่เนื่องด้วยคัณธานามมารมณ์ -> เจตนาที่เกิดต่อจากการที่วิญญาณประสบกับคัณธานามมารมณ์ (#ข้าพระเจ้าคิดว่า ตัวเจตนาตรงนี้นี่เองคือ ความอยาก แล้วไปตรงกับ สมุทัยสัจ) ผัสสะ ระสานามมารมณ์ วิญญาณที่เนื่องด้วยระสานามมารมณ์ -> เจตนาที่เกิดต่อจากการที่วิญญาณประสบกับระสานามมารมณ์ (#ข้าพระเจ้าคิดว่า ตัวเจตนาตรงนี้นี่เองคือ ความอยาก แล้วไปตรงกับ สมุทัยสัจ) ผัสสะ โผฏฐัพพานามมารมณ์ วิญญาณที่เนื่องด้วยโผฏฐัพพานามมารมณ์ -> เจตนาที่เกิดต่อจากการที่วิญญาณประสบกับโผฏฐัพพานามมารมณ์ (#ข้าพระเจ้าคิดว่า ตัวเจตนาตรงนี้นี่เองคือ ความอยาก แล้วไปตรงกับ สมุทัยสัจ) ผัสสะ ธรรมสัญญา(กำหนดความประสงค์ต่างๆขึ้นมา) #ตรงกำหนดความประสงค์ต่างๆขึ้นมานี้ตรงกันเด๊ะกับ "เจตนา" เลย และก็ "เจตนา" ก็ไปตรงกับสภาวะ "กามมะตัณหา" "ภวตัณหา" "วิภวะตัณหา" และถ้ากำหนดความประสงค์ขึ้นมาแล้วแล้วอยากมากๆที่จะให้สำเร็จตามความประสงค์ จะเกิดทุกข์ และถ้ากำหนดความประสงค์ขึ้นมาแล้วแล้วอยากไม่มากคือมีความอยากแบบอ่อน เช่น ก้าวเท้าเดินจรงกลมไปมา แล้วมันรวมลงเป็นอุปจาระสมาธิ ก่อนหน้านั้นคือมีความอยากแบบอ่อนๆไม่มาก ถ้าไม่มีความอยากเลยก็ไม่ได้ทำการเดินจรงกรม #และมีแต่พระอรหันต์แจ่มแล้วในปฏิจจสมุปบาทสายไม่ให้มีทุกข์ถอนตัณหาได้หมดสิ้น ส่วนพระเสขะยังไม่แจ่มแจ้งในปฏิจจสมุปบาทสายถอนโมหะเต็มบริบูรณ์
###[ พิจารณาดีๆจะเห็นว่ามันคล้ายๆปัจจยาการธรรมที่เกิดจากธรรมหนึ่งๆ แล้วเป็นเหตุให้เกิดขันธ์ทีละขันธ์ขึ้นมา อันเรียกว่าปฏิจสมุปบาท ]###
1รูป~1วิญญาณ~1สัญญาหมายหมายว่าจุดๆ)
แปรสภาพเป็นอายตนะที่หก
} 1สัญญาหมายว่าจุดๆ ~ 1วิญญาณ ~ 1สัญญาหมายขึ้นมาใหม่ ~ 1วิญญาณ ฯลฯ
และ
1รูปานามมารมณ์~1สัญญาหมาย ฯลฯ
#และให้แตกออกคือพิจารณาอายตะอันอื่นต่อในทำนองเดียวกัน
#หมายเหตุ ในที่นี้คือไม่ได้เอาเวทนามาใส่
ถ้าว่าตามปัจยาการจริงๆ ต้องเริ่มด้วย 1รูป 1วิญญาณ 1เวทนา 1สัญญา 1สังขาร
___________________________________
รูป ~ ธรรมชาติที่เห็นรูป ~ เวทนาความรู้สึก~ธรรมชาติที่เห็นเวทนา ~ สัญญาหมาย ~ ธรรมาชาติที่เห็นสัญญาหมาย ~ สังขารความคิดเป็นเรื่องเป็นราว:แล้วก็เกิดธรรมชาติที่เห็นสังขารความคิดเป็นเรื่องเป็นราว และก็เกิดธรรมชาติที่เห็นใหม่ขึ้นมาเพราะเหตุคือเกิดผัสสะ(ตา รูป จักขุวิญญา / หู เสียง โสตะวิญญาณ / จมูก กลิ่น ฆานะวิญญาณ / ชิวหา รส ชิวหาวิญญาณ / กาย โผฏฐัพพะ กายวิญญาณ /
หรือยังเกิดวิญญาณที่เป็นภายในคือมโนวิญญาต่อไปอีก ผัสสะ รูปานามมารมณ์ วิญญาณที่เนื่องด้วยรูปานามมารมณ์ -> เจตนาที่เกิดต่อจากการที่วิญญาณประสบกับรูปปานามมารมณ์ (#ข้าพระเจ้าคิดว่า ตัวเจตนาตรงนี้นี่เองคือ ความอยาก แล้วไปตรงกับ สมุทัยสัจ)
ผัสสะ สัทธานามมารมณ์ วิญญาณที่เนื่องด้วยสัทธานามมารมณ์ -> เจตนาที่เกิดต่อจากการที่วิญญาณประสบกับสัทธานามมารมณ์ (#ข้าพระเจ้าคิดว่า ตัวเจตนาตรงนี้นี่เองคือ ความอยาก แล้วไปตรงกับ สมุทัยสัจ)
ผัสสะ คัณธานามมารมณ์ วิญญาณที่เนื่องด้วยคัณธานามมารมณ์ -> เจตนาที่เกิดต่อจากการที่วิญญาณประสบกับคัณธานามมารมณ์ (#ข้าพระเจ้าคิดว่า ตัวเจตนาตรงนี้นี่เองคือ ความอยาก แล้วไปตรงกับ สมุทัยสัจ)
ผัสสะ ระสานามมารมณ์ วิญญาณที่เนื่องด้วยระสานามมารมณ์ -> เจตนาที่เกิดต่อจากการที่วิญญาณประสบกับระสานามมารมณ์ (#ข้าพระเจ้าคิดว่า ตัวเจตนาตรงนี้นี่เองคือ ความอยาก แล้วไปตรงกับ สมุทัยสัจ)
ผัสสะ โผฏฐัพพานามมารมณ์ วิญญาณที่เนื่องด้วยโผฏฐัพพานามมารมณ์ -> เจตนาที่เกิดต่อจากการที่วิญญาณประสบกับโผฏฐัพพานามมารมณ์ (#ข้าพระเจ้าคิดว่า ตัวเจตนาตรงนี้นี่เองคือ ความอยาก แล้วไปตรงกับ สมุทัยสัจ)
ผัสสะ ธรรมสัญญา(กำหนดความประสงค์ต่างๆขึ้นมา)
#ตรงกำหนดความประสงค์ต่างๆขึ้นมานี้ตรงกันเด๊ะกับ "เจตนา" เลย และก็ "เจตนา" ก็ไปตรงกับสภาวะ "กามมะตัณหา" "ภวตัณหา" "วิภวะตัณหา"
และถ้ากำหนดความประสงค์ขึ้นมาแล้วแล้วอยากมากๆที่จะให้สำเร็จตามความประสงค์ จะเกิดทุกข์
และถ้ากำหนดความประสงค์ขึ้นมาแล้วแล้วอยากไม่มากคือมีความอยากแบบอ่อน เช่น ก้าวเท้าเดินจรงกลมไปมา แล้วมันรวมลงเป็นอุปจาระสมาธิ ก่อนหน้านั้นคือมีความอยากแบบอ่อนๆไม่มาก ถ้าไม่มีความอยากเลยก็ไม่ได้ทำการเดินจรงกรม
#และมีแต่พระอรหันต์แจ่มแล้วในปฏิจจสมุปบาทสายไม่ให้มีทุกข์ถอนตัณหาได้หมดสิ้น ส่วนพระเสขะยังไม่แจ่มแจ้งในปฏิจจสมุปบาทสายถอนโมหะเต็มบริบูรณ์
1รูป~1วิญญาณ~1สัญญาหมายหมายว่าจุดๆ)
แปรสภาพเป็นอายตนะที่หก
} 1สัญญาหมายว่าจุดๆ ~ 1วิญญาณ ~ 1สัญญาหมายขึ้นมาใหม่ ~ 1วิญญาณ ฯลฯ
และ
1รูปานามมารมณ์~1สัญญาหมาย ฯลฯ
#และให้แตกออกคือพิจารณาอายตะอันอื่นต่อในทำนองเดียวกัน
#หมายเหตุ ในที่นี้คือไม่ได้เอาเวทนามาใส่
ถ้าว่าตามปัจยาการจริงๆ ต้องเริ่มด้วย 1รูป 1วิญญาณ 1เวทนา 1สัญญา 1สังขาร
___________________________________
รูป ~ ธรรมชาติที่เห็นรูป ~ เวทนาความรู้สึก~ธรรมชาติที่เห็นเวทนา ~ สัญญาหมาย ~ ธรรมาชาติที่เห็นสัญญาหมาย ~ สังขารความคิดเป็นเรื่องเป็นราว:แล้วก็เกิดธรรมชาติที่เห็นสังขารความคิดเป็นเรื่องเป็นราว และก็เกิดธรรมชาติที่เห็นใหม่ขึ้นมาเพราะเหตุคือเกิดผัสสะ(ตา รูป จักขุวิญญา / หู เสียง โสตะวิญญาณ / จมูก กลิ่น ฆานะวิญญาณ / ชิวหา รส ชิวหาวิญญาณ / กาย โผฏฐัพพะ กายวิญญาณ /
หรือยังเกิดวิญญาณที่เป็นภายในคือมโนวิญญาต่อไปอีก ผัสสะ รูปานามมารมณ์ วิญญาณที่เนื่องด้วยรูปานามมารมณ์ -> เจตนาที่เกิดต่อจากการที่วิญญาณประสบกับรูปปานามมารมณ์ (#ข้าพระเจ้าคิดว่า ตัวเจตนาตรงนี้นี่เองคือ ความอยาก แล้วไปตรงกับ สมุทัยสัจ)
ผัสสะ สัทธานามมารมณ์ วิญญาณที่เนื่องด้วยสัทธานามมารมณ์ -> เจตนาที่เกิดต่อจากการที่วิญญาณประสบกับสัทธานามมารมณ์ (#ข้าพระเจ้าคิดว่า ตัวเจตนาตรงนี้นี่เองคือ ความอยาก แล้วไปตรงกับ สมุทัยสัจ)
ผัสสะ คัณธานามมารมณ์ วิญญาณที่เนื่องด้วยคัณธานามมารมณ์ -> เจตนาที่เกิดต่อจากการที่วิญญาณประสบกับคัณธานามมารมณ์ (#ข้าพระเจ้าคิดว่า ตัวเจตนาตรงนี้นี่เองคือ ความอยาก แล้วไปตรงกับ สมุทัยสัจ)
ผัสสะ ระสานามมารมณ์ วิญญาณที่เนื่องด้วยระสานามมารมณ์ -> เจตนาที่เกิดต่อจากการที่วิญญาณประสบกับระสานามมารมณ์ (#ข้าพระเจ้าคิดว่า ตัวเจตนาตรงนี้นี่เองคือ ความอยาก แล้วไปตรงกับ สมุทัยสัจ)
ผัสสะ โผฏฐัพพานามมารมณ์ วิญญาณที่เนื่องด้วยโผฏฐัพพานามมารมณ์ -> เจตนาที่เกิดต่อจากการที่วิญญาณประสบกับโผฏฐัพพานามมารมณ์ (#ข้าพระเจ้าคิดว่า ตัวเจตนาตรงนี้นี่เองคือ ความอยาก แล้วไปตรงกับ สมุทัยสัจ)
ผัสสะ ธรรมสัญญา(กำหนดความประสงค์ต่างๆขึ้นมา)
#ตรงกำหนดความประสงค์ต่างๆขึ้นมานี้ตรงกันเด๊ะกับ "เจตนา" เลย และก็ "เจตนา" ก็ไปตรงกับสภาวะ "กามมะตัณหา" "ภวตัณหา" "วิภวะตัณหา"
และถ้ากำหนดความประสงค์ขึ้นมาแล้วแล้วอยากมากๆที่จะให้สำเร็จตามความประสงค์ จะเกิดทุกข์
และถ้ากำหนดความประสงค์ขึ้นมาแล้วแล้วอยากไม่มากคือมีความอยากแบบอ่อน เช่น ก้าวเท้าเดินจรงกลมไปมา แล้วมันรวมลงเป็นอุปจาระสมาธิ ก่อนหน้านั้นคือมีความอยากแบบอ่อนๆไม่มาก ถ้าไม่มีความอยากเลยก็ไม่ได้ทำการเดินจรงกรม
#และมีแต่พระอรหันต์แจ่มแล้วในปฏิจจสมุปบาทสายไม่ให้มีทุกข์ถอนตัณหาได้หมดสิ้น ส่วนพระเสขะยังไม่แจ่มแจ้งในปฏิจจสมุปบาทสายถอนโมหะเต็มบริบูรณ์
สร้างโดย พระมงคลชัย กิตติโสภโณ อย่าหลงวิบากเด้อ เมื่อ วันอังคารที่ 20 กันยายน 2022 เวลา 06:34 น. UTC+07:00
มีข้อมูลระหว่าง 1 กรกฎาคม 2014 เวลา 00:00 น. - 27 กุมภาพันธ์ 2018 เวลา 23:59 น.
***************************************************************** CD แผ่นนี้ เป็นธรรมทานแจกฟรี... ครับ ------------------------------------------------------------------------------------ ในแผ่น จะมี 4 โฟรเดอร์ ตามนี้ ------------------------------------------------------------------------------------ 01.รักแท้มีจริง ------------------------------------------------------------------------------------ 02.หมวดความรัก ------------------------------------------------------------------------------------ 03.หมวดพัฒนาตนเอง ------------------------------------------------------------------------------------ 04.เกมกรรม ------------------------------------------------------------------------------------ 05.การปฏิบัติธรรมภาวนา ------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------- 1.รักแท้มีจริง จะเป็นเสียงอ่านหนังสือ"รักแท้มีจริง" ซึ่งเป็นงานเขียนของ ดังตฤณ เนื้อหาภายในล้วนเกี่ยวกับ ความรักมากมาย ------------------------------------------------------------------------------------- 2.หมวดความรัก จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับคำถามของวัยรุ่นชายหญิงและวัยผู้ใหญ่ที่หลากหลายแนวความคิด ในเรื่องความรัก ------------------------------------------------------------------------------------- 3.หมวดพัฒนาตน จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัณหาด้านต่างๆรอบด้านในชีวิตของวัยรุ่น และคำแนะนำวิธีการแก้ปัญหานั้นจากดังตฤณ -------------------------------------------------------------------------------------- 4.เกมกรรม จะเป็นเเสียงอ้่านหนังสือ "เกมกรรม" ผู้เขียน ดังตฤณ เป็นเนื้อหาที่บอกเหตุบอกผลในเรื่องกรรมวิบากได้แจ่มแจ้งมาก -------------------------------------------------------------------------------------- เช่น ผู้ชายหรือผู้หญิงก็ตาม ทำกรรมอย่างไรมา ถึงมีศรีษะใหญ่ ศรีษะเล็ก ดวงตาใหญ่ ดวงตาเล็ก ปากสวย ปากไม่สวย -------------------------------------------------------------------------------------- นิ้วมือใหญ่ นิ้วมือเล็ก อวัยวะเพศเล็ก อวัยวะเพศใหญ่ แทบทุกส่วนในร่างกายเลย ว่าทำกรรมใดมาถึงได้แบบนี้ดังที่เห็นๆกันอยู่นี้ -------------------------------------------------------------------------------------- สวยได้แบบนี้ หล่อได้แบบนี้ เพราะเคยทำเหตุอย่างใดมาก่อน ผลจึงออกมาเป็นแบบนี้ เป็นต้นครับ -------------------------------------------------------------------------------------- 5.การเจริญสติภาวนา จะเป็นการบอก ว่าอะไรเป็นประโยช์ที่สูงสุดของการเกิดเป็นมนุษย์ และวิธีภาวนาดูกายดูใจ แบบง่ายๆ --------------------------------------------------------------------------------------- แม้ไม่อยากถึงนิพพาน แต่ถ้าลงมือปฏิบัติภาวนา ความทุกข์จะดับไปในทุกขั้นตอนของการปฏิบัติ และความสุขปรากฏเกิดขึ้น ------------------------------------------------------------------------------------ ในทุกขั้นตอนของการปฏิบัติเช่นเดียวกัน และติดไปในภพชาติข้างหน้าด้วย ไม่เหมือนร่างกาย ไม่เหมือนเงินทอง ตายแล้วเอาไปด้วยไม่ได้ ------------------------------------------------------------------------------ และเมื่อเกิดใหม่จะเป็นผู้มีสติปัญญาดี ------------------------------------------------------------------------------------------ *** ******** ************* ******************** ************************** ********************************** ***************************************** *************************************************** ก็จะประมาณนี้ครับ ในความเข้าใจของผมที่น้อยนิดนี้ ที่ได้ฟัง และเพื่อให้ทุกคนได้รู้เกี่ยวกับกฏแห่งกรรม ตนเองทำผิดอะไรไว้บ้าง จะได้สำรวมระวังหลีกเลี้ยงลดย่อน ผู้ทำผิด ยังไม่รู้ว่าตนเองกำลังทำผิดนี้น่าสงสารมาก ส่วนผู้ทำผิด และรู้ว่าตนเองกำลังทำผิด แต่ไม่เปลี่ยนแก้ให้เป็นไปทางที่ถูก นี้น่าสงสารมากยิ่งกว่า ส่วนผู้ทำผิด รู้ว่าตนเองกำลังทำผิด แล้วแก้ตัวใหม่ นี้น่ายินดีน่าให้ความสรรเสริญ เท่าที่ผมรู้ วัยรุ่นมักชอบไปดูดวง แม้วัยผู้ใหญ่เองก็ชอบไปดูดวงกัน วันนี้ก็เลยอยากจะเล่าเรื่องดูดวงให้ฟังครับ ในเรื่องของโหราศาตร์คร่าวๆาสักหน่อยหนึ่ง "ทุกคนที่เกิดมา จะมีวิบากวางแผนไว้แล้ว ไม่ว่าจะเรื่องความรัก เรื่องการงาน ย่นย่อลงมาก็คือเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตนี้นี่เอง จะต้องประสบเจออะไรบ้าง เรื่องดีเรื่องร้าย ทุกข์มาก กรรมหนักถึงตาย หรือแค่บาดเจ็บ จะมีความเจริญหรือล้มเหลวช่วงไหนของชีวิตบ้าง อายุสุขภาพจะอยู่ได้กี่ปี ความรัก เนื้อคู่จะเป็นคนผิวขาวผิวดำ ร่างเล็กร่างใหญ่ และอีกปลีกย้อยต่างๆอื่นๆเกี่ยวกับชีวิตเรา ถ้าเราไม่รู้มันก็จะเป็นไปตามเดิมแบบนั้นทุกอย่าง ที่ดวงลิขิตไว้หรือกรรมเก่าปูทางไว้ แต่ถ้าเรารู้แล้ว และเราก็ไม่แก้ไขไม่ทำอะไรเลย มันก็จะเป็นแบบนั้นทุกอย่างเหมือนดังเดิม แต่ถ้าหากเรารู้แล้ว แล้วเราก็แก้ไขมัน มันจะไม่เป็นไปตามนั้นทุกอย่าง เพราะเราเดินหน้านำดวงนั้นเอง "หัตถศาสตร์ คือศาสตร์ดูเส้นลายมือ ปกติเส้นลายมือในฝ่ามือคนเราจะมีการเปลียนแปลงอยู่ตลอดตามอำนาจอิทธิพลของจิตใจเรา หมอดูหัตถศาสตร์ที่เก่งๆ แค่เขาดูลายมือที่อยู่บนฝ่ามือคุณ เขาก็รู้ได้คร่าวๆแล้วว่า ก่อนที่คุณจะมาเกิดนี่ ได้ทำกรรมลักษณ์ไหนไว้บ้าง คุณชอบเป็นผู้ให้ มากกว่าเป็นผู้รับ คุณใจกว้างใจแคบ คุณฉลาดคิดพิจารณาก่อนจึงพูด คุณเป็นคนพูดแบบไม่คิดแบบจวดจ้าดตรงๆ คุณจะมีโรคช่วงไหนของชีวิต คุณจะมีลูกกี่คน และยังรู้อีกว่าภาพรวมของชีวิตในชาตินี้จะเป็นยังไง ส่วนโหราศาตร์ก็คล้ายๆเหมือนๆกัน เพียงแต่ไม่ได้ดูลายมือวิธีรู้ต่างกันเท่านั้นเอง หัตถศาสตร์ หรือศาตร์การดูลายมือนั้น ไม่แน่นอนเท่าไร่กับนักฝืนดวง (นักฝืนดวงเป็นยังไงหนอ อ่านไปจนจบแล้วก็จะรู้) หมอดูที่เก่งในด้านหัตถศาสตร์ เช่น แค่เขาดูลายมือคุณ ในฝ่ามือคุณเส้นชีวิตมันออกจางๆมองไม่ค่อยเห็นคือไม่ชัดไม่ยาว แถมยังขาดอีก ก็อาจเป็นไปได้ว่า เขาจะบอกคุณว่า ชีวิตคุณจะสั้น เพราะพื้นฐานของลายมือแบบนี้บ่งบอกได้ว่า ในชาติหนหลังที่ผ่านมา ได้ ทำกรรมเกี่ยวกับชีวิตผู้อื่นสัตว์อื่นไว้มาก ไม่กายกรรม ก็วจีกรรม ไม่วจีกรรมก็มโนกรรม อย่างเช่น ใช้กายปิดชีวิตผู้อื่นสัตว์อื่น หรือใช้คำพูดปิดชีวิตผู้อื่นสัตว์อื่น หรือใช้มโนใจที่นักแน่นมีความยินดีที่ผู้อื่นปิดชีวิตผู้อื่นสัตว์อื่น เพียงเท่านี้ก็เป็นเหตุให้ลายมือ ฟ้องเลยว่าชีวิตจะสั้นหรือสุขภาพไม่ดี ต้องแก้โดยการทำบุญในด้านต่อชีวิต ปล่อยสัตว์ หรือถวายอาหารบิณฑบาตแด่พระก็ถือว่าเป็นการต่ออายุ แต่ถ้าเป็นนักฝืนดวง เขาจะยังไม่ตายเร็ว เพราะเขาจะให้ทาน รักษาศีล ภาวนา ตอนกลางวันเขาอาจระวังเนื้อระวังตัวเป็นอย่างดี และตอนพระอาทิตย์ตกดินแล้วเข้าอาจยิ่งระวังตัว และทำบุญปล่อยสัตว์ที่กำลังจะถูกฆ่า เช่นสัตว์ใหญ่ ช้าง ม้า วัว ควาย และทำทุญด้านทานอย่างครบวงจร เช่น ทำสังฆทานถวายอาหารพระตอนเช้า หรือเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กๆในโรงเรียน หรือจัดทำสื่อธรรมาทานแท้แจกคนออกไป หรือเริ่มถือศีลและปฏิบัติธรรมภาวนา แผ่เมตตาอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ พระอริยะบุคคลทั้งหลาย พระโพธิ์สัตว์ทั้งหลาย พระพรหมทั้งหลาย ทวยเทพเทวาทั้งหลาย อสูรกายทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหลาย เปตรทั้งหลาย สัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย สัวต์นรกทั้งหลาย มนุษย์ในโลกทั้งหลาย และมาเจาะจงแค่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ทำอยู่อย่างนี้เรื่อยๆนานๆ เป็นเดือนเป็นปี เป็นปีๆไป แล้วให้มาดูลายมือเถิด จะเห็นว่าเส้นชีวิตมันเปลี่ยนไป กรรมในอดีตก็ให้ผลของมัน แต่เราทำเราสร้างกรรมในปัจจุบันที่แรงกว่า มันจึงไม่เป็นไปตามแผนเดิมของลายมือ หัตถศาตร์ โหราศาตร์ บอกอดีตได้แต่ไม่ชัด เช่นเราไปทำกรรมกับคนชื่ออะไร ที่ไหน นับถอยไปชาติที่เท่าไร่ ใช้อาวุธอะไรฆ่าเขา พูดคำไหนให้เขาตาย หรือคิดยินดีที่เห็นคนถูกฆ่าที่ไหน เป็นต้น และบอกอนาคตได้แต่ก็ไม่ชัดในทำนองเดียวกันกับอดีต บางคนดูแล้วมันไม่ตรง หมอดูต้มตุ๋นเขาทายว่าต่อไปจะร่ำรวยโชคลาภวาสนาดี รวยๆเฮง ทีนี้หลังจากนั้นมันไม่ตรง ก็ไม่เชื่อ แล้วหมดศรัทธากันเลยทีเดียวแถมอาจแนะคนอื่นด้วยว่า มันเป็นเรื่องงมงาย วิทยาศาตร์ยังไม่เอามาออกทีวีให้ดูว่ามันจริง ศาสตร์ต่างๆพวกนี้ จะว่างมงายก็ไม่ใช่ เพราะมันก็ยังพอมีประโยชน์อยู่นะ ดวงจะขึ้นดวงจะลงมันไม่แน่ไม่นอน ถ้าเป็นช่วงดวงขึ้นก็ดีไป แต่ถ้าเป็นดวงขาลงอย่างหนักนี้สิมันก็น่าขนลุกหน่อย อาจถึงชีวิตก็เป็นได้ แต่เราได้รู้ทัน เพราะศาตร์พวกนี้ ศรัทธา แปลว่า ความเชื่อ ถ้าเราเชื่อแบบงมงาย ก็จะเป็นคนงมงายเชื่ออะไรง่าย โดยไม่มีเหตุไม่มีผลถึงชาติหน้าต่อไป แต่ถ้าเราเชื่อแบบมีปัญญา เรากลายเป็นคนที่ฉลาดในชีวิตตัวเองที่สุด โดยเฉาพาะเรื่องเกี่ยวกับกรรมวิบากในชีวิต และ เรื่องดวง เรื่องหมอดู ถ้าเขารู้จริงเกี่ยวกับชีวิตเราแต่เราไม่มีความเชื่อ มันก็น่าเสียดายย้อนหลังอยู่นะ วันนี้จะมาเล่าให้ฟังเรื่องหมอดูมันเป็นยังไง มันจริงหรือเปล่ามีผลกับชีวิตเราหรือเปล่า หรือแค่หลอกต้มตุ๋นทำนายกันเล่นๆ อย่างเช่น ในเว็บด้านล่างนี้ ก็อยากจะให้ดูเล่นๆกัน ถ้าคิดว่าเล่นๆ ก็อย่าจริงจังเชื่อคำทำนายไปหมดนะครับ เพราะดูดวงแต่ละที่จะไม่เหมือนกัน เพราะมันหลายสายหลายตำรา จึงพูดไม่เหมือนกัน แต่ความหมายจะออกมาคล้ายๆกัน เช่น ในเว็บนี้ลองดู ลองเข้าไปดูเล่นๆครับ โดยก๊อปลิงค์ไปวางที่ด้านบน แล้วเข้าไปดูครับ ความหมายก็จะบอกเกี่ยวกับตัวเราได้คร่าวๆ ลองดูครับ http://astro.meemodel.com/เลข7ตัว9ฐาน/ http://www.myhora.com อันนี้ให้เลือกในส่วน กราฟชีวิต นะครับ โดยเลือกใส่ วัน/เดือน/พ.ศ จริงลงไป แต่ใส่ชื่อมั่วๆก็ได้ เช่น นก ปลา เป็นต้น คำทำนายออกมา จะบอกได้คราวๆว่าคุณเป็นคนยังไงจิตใจยังไง มันตรงไหม อาจไม่ละเอียดเท่าหมอดู 2 ประเภทนี้ ที่คนชอบดูดวงให้ความเชื่อถือกันมาก คือหมอดูที่1 เป็นหมอดูประเภทที่แตกฉานการในการถอดรหัสเลขฐานดวงดาวได้ออกมาหลายแง่หลายมุมเหมือนลากต้นไม้ และประเภทที่2 เป็นหมอดูจิตมีอภิญญา คือมีญาณยั่งรู้อดีต/อนาคต ของสัตว์ของคนได้ สามารถรู้เหตุล่วงหน้าได้อย่างแจ่มแจ้ง 2 ประเภทนี้เขาจะให้วิธีแก้คือแนะนำคือช่วยให้พ้นวิบากที่ไม่ดี เท่าที่จะช่วยได้ ************************************************************ แต่สำหรับนักภาวนา(นักฝืนดวง) ถ้าเป็นนักภาวนาที่กำลังอ่านข้อความอยู่นี้ คำนายผลบอกออกมาอย่างไรก็อย่าเพิ่งเชื่อว่ามันจะเป๊ะน่ะครับ เพราะเรามีการรักษาศีลและเจริญภาวนาอยู่เป็นประจำ ดวงมันคลาดเคลื่อนไปแล้วไม่มากก็น้อย สำหรับผู้ใหม่ สนใจอยากภาวนา หรือไม่อยากทุกข์ใจกับเรื่องตัณหาที่เกิดขึ้นต่างๆนาๆในชีวิตมาก ผมแนะนำทางสว่าง คืออยากให้ภาวนาควบคู่ไปด้วยในชีวิตประจำวันครับ ประโยชน์จะได้อะไร? ถ้าตอบแบบพระพุทธเจ้า ก็คือได้ทั้งบุญได้ทั้งกุศลในขั้นสูงสุด ทำทาน 100 ปี ไม่สู้รักษาศีล 1 วัน รักษาศีล 100 ปี ไม่สู้ภาวนาดูกายดูใจ อานิสงค์มันจะต่างกันเป็นขั้นๆครับ ผมไม่ได้บอกว่า ไม่ต้องทำทาน ไม่ต้องรักษาศีล แต่ภาวนาอย่างเดียวเลย เพราะมันจะไม่สมดุลกัน เช่น ทำทานเยอะแต่ไม่รักษาศีลเพื่อฝึกจิตให้มันดี ก็ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ได้ครับ ยกตัวอย่าง เช่น สุนัขที่อยู่บ้านคนรวย มีอาหารมีที่หลับที่นอนดี ก็คือเจ้าของเลี้ยงดี แตกต่างจากสุนัขจรจัดที่อยู่ข้างถนน นั้นคือ เขาทำทานไว้เยอะ แต่จิตใจไม่ดี และสิ่งที่เอามาทานอาจเป็นของที่ขโมยเขามา คือได้มาโดยไม่ถูกต้อง รักษาศีล ถ้ารักษาเพียงแค่ศีลอย่างเดียว ไม่ทำทั้งทานและไม่ภาวนา ก็จะสวยหรือหล่อแบบโง่ๆถูกหลอกง่าย หลงเล่กลคนง่าย หัวไม่ทันใคร ปัญญาทึบ คิดอ่านอะไรไม่ทะลุปุโปรงได้เร็ว ประมาณนี้ครับ แถมเมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ จะเป็นคนขลาดแคลนโภคะ เพราะไม่เคยให้ทานไว้เลย ทุกคนคงเคยทำทาน แต่ทำบ่อยหรือไม่แค่นั้นเอง ยิ่งทำบ่อยนั้นแหละคือแต้ม ที่จะให้มีโภคะมาก ถึงจะทานแต่ละครั้งจะไม่มาก แต่ถ้าภาวนาอย่างเดี่ยว ไม่ทำทั้งทานทั้งศีลก็ไม่รักษา แต่จิตใจดี อันนี้ก็ไปดีหน่อย คือสุขคติคือ ไม่มนุษย์ก็สวรรค์หรือพรมโลก แต่เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ จะโรคมาก อายุสั้น แต่ฉลาดหัวใว ถ้าฆ่าสัตว์ไว้เยอะน่ะครับ แต่ถ้าฆ่าสัตว์แล้วแผ่เมตตาไปให้ด้วย ช่วยชีวิตสั้ตว์ที่กำลังจะถึงความตาย เช่น ปลาที่ขายในตลาดด้วย ยิ่งถ้าวิญญาณใหญ่ พลังชีวิตที่จะย้อนกลับมาหาเรายิ่งมาก ประมาณนี้ครับ สรุปคือ ภาวนาได้บารมีเยอะที่สุด http://www.myhora.com/ดูดวง-เลข-7-ตัว.aspx คำทำนายบอกว่าอย่างไร? ************************************************ คนธรรมดาๆ ถ้าหากอ่านแล้วเขาบอกว่าไม่ดี คือดวงตก หรือชะตาขาด เป็นต้น คือผลลับมันส่งผลต่อใจ จะมีทุกข์ทางใจมาเยี่ยม หรือผลลับคือส่งผลต่อกาย อาจจะมีอุบัติเหตุ เสียอวัยวะ เป็นต้น คุณอาจจะเป็นไปตามเขาบอก อาจนะครับ ไม่ใช่เป็นไปตามเป๊ะเลย แต่ถ้าหมอดูประเภทแตกฉานคล่องแคล้ว และหมอดูประเภทจิตมีอภิญญาญาณยั่งรู้ได้ คุณจะเป็นไปตามใกล้เคียงที่เขาบอกมากๆ มากกว่าคำทำนายที่ดูเล่นๆในเว็บ หรือดูไพยิบซีเล่นๆอีก แต่ถ้าหากคุณ ถือศีล๕ และเจริญภาวนา ดูกายดูใจ ก็คือถ้าคุณภาวนา เส้นทางชีวิตจะเปลี่ยนไปจากดวงเดิมที่โหราศาสตร์ทำนายไว้ ที่หมอดูอภิญญาทำนายไว้ อันนี้ก็คือวิธีแก้ แบบพระพุทธเจ้า ก็คือดวงคุณจะเข๋..หักเห ออกจากเส้นทางดวงเดิมที่ถูกกำหนดไว้ ที่เคยถูกหมอดูทำนายทายทักไว้ ยิ่งถ้าคุณภาวนาในชีวิตประจำวันเลย ดวงคุณจะยิ่งเปลี่ยนไปทางดี ยกตัวอย่างเรื่องอายุไข จากจะตาย ก็แค่บาดเจ็บสาหัสมาก จากจะบาดเจ็บสาหัสมาก ก็แค่บาดเจ็บมาก จากจะบาดเจ็บมาก ก็แค่บาดเจ็บน้อย จากจะบาดเจ็บน้อย ก็แค่ฟกซ้ำดำเขียวนิดหน่อย จากจะฟกซ้ำดำเขียวนิดหน่อยก็เท่าแมวใช้เล็บขีด จากแมวจะใช้เล็บขีด ก็ไม่เกิดขึ้นเลย จากจะซวย ก็ไม่ซวย เพราะอโหสิกรรมเลิกให้ผล และลาภะ (ลาภ) เวลาดวงมันตก ถ้าเราภาวนาก็เหมือนทำนองเดียวกันกับอายุ สมมุติเป็นเศษฐีนะครับ จากที่จะล้มเหลวหมดตัว ก็ไม่ล้มเหลวไม่หมดตัว จากที่จะล้มเหลวมาก ก็จะล้มเหลวน้อย จากที่จล้มเหลวน้อย ก็เหมือนๆกันกับอายุไขข้างบนครับ ทุกๆเรื่องเลยที่เกี่ยวกับชีวิตมันจะผ่อนกรรมหนักเป็นเบา ทุกๆเรื่องเลยที่เป็นกรรมดำคือกรรมไม่ดีที่เราเคยก่อไว้ในภพชาติอดีต ที่เวียนว่ายตายตายเกิดหลายแสนชาติที่ผ่านมา จากที่จะได้รับผลกรรมเต็มๆ แต่ได้รับแค่ครึ่งหนึ่ง เพราะเราทำให้มันเบาบาง เหมือนแก้วน้ำมียาพิษที่เราต้องดื่ม ถ้าเราดื่มเข้าไปก็ได้รับพิษมันเต็มๆ แต่เราภาวนาดูกายดูใจ จะเหมือนมีน้ำมาเพิ่มอีกโอ่งหนึ่ง ยาพิษก็ปริมาณเท่าเดิมนั้นแหละแต่จะเจือจางมาก เราดื่มเข้าไปก็ไม่ถึงความตาย ทีนี้มาว่ากันที่ถึงคราวดวงขึ้น เพราะเราเคยทำทั้งกรรมดีทั้งกรรมไม่ดีสลับกัน ตายแล้วเกิดใหม่ก็ลืม ว่ากันที่พอถึงคราวดวงเปลี่ยนพอดวงหมุนเปลี่ยนเป็นดี เรื่องไม่ดีก็จะน้อยลง จากดวงจะขึ้น ก็ขึ้นมากขึ้นเลยขีดจำกัดดวงเดิม เรื่องต่างๆที่เกี่ยวกับชีวิตจากที่จะดีเฉยๆ ก็มีเรื่องดีมากเกิดขึ้น เหนือดีแบบดวงเดิม ด้านความรักก็เหมือนกันครับ จากที่เป็นคู่แบบเจ้ากรรมนายเวร ก็จะคลายกันออก จิตใจก็จะประมาณนี้ครับ คร่าวๆดวงของคนเจริญสติภาวนา ยิ่งภาวนา จิตยิ่งสว่าง ยิ่งสว่าง ยิ่งรู้สึกว่าภพชาติข้างหน้า ตนเองจะได้เกิดในที่ปลอดภัย ปลอดภัยจาก อบาย นรก เปตร เดรัจฉาน ให้ภาวนานะ ถ้าทิ้งทางโลกไม่ได้ ก็ต้องเอาทางธรรมควบคู่ไปด้วย ไม่งั้น การเกิดทันพระพุทธศาสนาของคุณ จะกลายเป็น เกิดมาโมฆะเล่นๆเปล่า เปรียบเหมือนเดินเข้าวัด แล้วไม่ได้ดื่มน้ำอมฤตธรรมแท้เลย ******************************************************* ************************************************ บทความธรรมมะ ............ มีความสุขอยู่กับตัวเองยังไม่ได้ ก็อย่างเพิ่งหวังว่าจะให้คนอื่น มีความสุขกับคุณได้# ถ้าเปลี่ยนจากอยากให้เขาหรือเธอ มีใจมั่นคงกับคุณ มาเป็นอยากให้เขาหรือเธอ มีความสบายใจ อยู่กับคุณ โจทย์ในใจที่ต่างกันนั้น จะทำให้วิธีคิดแตกต่าง และมีชีวิตที่ไม่เหมือนเดิม# แค่คาดหวังไว้ผิดก็มีสิทธ์ตั้งตนพลาด# ได้รับความรักอย่างไร ก็คือการ รับกรรมที่ก่อไว้อย่างนั้น# ถ้าเห็นให้ได้ว่าแก่นแท้ของชีวิต อยู่ที่จิตอยู่ที่ใจ ก็ไม่มีความสูญเสียครั้งใด ยิ่งใหญ่เท่าเสียใจไปทั้งดวง คนบ้างคนยอมยกใจทั้งดวงให้กับเรื่องเศร้าครั้งเดียว แล้วเขาก็ไม่ได้อะไรมาอีกเลยตลอดทั้งชีวิตที่เหลือ# "เราทุกข์ เพราะใคร..?.. แล้วเราจะทุกข์ ไปทำไม..?.. เพื่ออะไร แล้วยังไงต่อ..?.. ............. เพื่ออะไร แล้วยังไงต่อ เราจะหงุดหงิดไปเพื่ออะไร..?.. หงุดแล้วยังไงต่อ..?.. เขาจะทุกข์ไปเพื่ออะไร? ทุกข์แล้วยังไงต่อ? คนเราทำไมต้องเป็นทุกข์เพราะความรัก ทุกข์แล้วจะได้อะไร ทุกข์แล้วจะทำให้สมหวังมากขึ้นเหรอ ทุกข์แล้วเขาจะหันมาสนใจเรามากขึ้นหรือเปล่า? ก็ไม่นี่น่า คนเรายิ่งจมอยู่กับความทุกข์ ชีวิตยิ่งแย่ไม่ใช่เหรอ ตกลงชีวิตของเราก็ไม่ได้เป็นของเราอีกแล้วเหรอเนี่ย ทำไมเราต้องคอยเอาความสุขของตัวเรา ไปฝากไว้ที่เขาด้วย ต้องรอให้เขาทำดีกับเรา เราถึงจะมีความสุขหรือ? เราจะสุข เราจะทุกข์ ต้องให้ขึ้นอยู่กับคนอื่นตลอดเลยหรือ นี่มันใช่ชีวิตเราไหมเนี๊ย ชักจะงง ?? เราจะออกแบบจิตใจเรา ในฉบับของเรา ไม่ให้ทุกข์ ไม่ได้หรือ ทำไมก่อนที่จะมาเจอเขา เราก็ยังยิ้มได้ มีความสุขได้ด้วยตัวเราเอง ก่อนมารู้จักกับเขา ไม่ว่าเขาจะทำอะไร จะคบใคร จะเป็นอย่างไร เราก็ไม่เห็นต้องทุกข์ต้องสุข เพียงเพราะการกระทำของเขา นั่นแสดงว่าเราจะทุกข์จะสุขได้ ต้องขึ้นอยู่กับเขาคนเดียวเหรอ.. ดังเรื่องพระอานนท์รักพระพุทธเจ้ามาก ไม่อยากให้พระพุทธเจ้าจากไป พระอานนท์ได้ร้องไห้น้ำตานองหน้าเลย และขอร้องให้พระพุทธเจ้าอย่าเพิ่งปริพนิพพาน ขอให้อยู่ต่อไปนานๆ เนื่องจากพระองค์จะปรินิพนิพพานในอีก 3 เดือนข้างหน้าครับ เพราะกรรมเก่าของท่าน # "อานนท์ เราได้เคยบอกเธอไว้ก่อนแล้วมิใช่หรือว่า บุคคลย่อมต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พึงใจเป็นธรรมดา จะหวังให้ได้ดังใจเสมอไปย่อมไม่ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วย่อมมีการสูญสลายเป็นธรรมดา จะปราถนาว่าอย่าต้องเป็นอย่างนั้นเลยย่อมเป็นไปไม่ได้... ความแก่ชราย่อมซ่อนอยู่ในความหนุ่มสาว ความมีโรคย่อมซ่อนอยู่ในความไม่มีโลก ความตายย่อมซ่อนอยู่ชีวิตที่ยังไม่ตายนี้" แล้วจะประสาอะไรครับ กับคนรักที่ยังมีกิเลส หาความมั่นคงหาหลักหาฐานหาความถูกต้องไม่ได้ ว่ามันจะไม่ทิ้งเราไป ไม่ทำให้เราเสียใจ.... และอีกอย่างชีวิตต้องมีความพลัดพรากเป็นธรรมดา ผมเข้าใจแล้วว่า ทำไมผู้ใหญ่ถึงพาเด็กเข้าวัดสวดมนต์ เรามีความแก่เป็นธรรมดาจะล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้ เรามีความเจ็บไข้เป็ธรรมดาจะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้ เรามีความตายเป็นธรรมดาจะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้ เราจะละเว้นเป็นต่างๆ คือว่าจักต้องพลัดพรากจากของรักของเจริญใจทั้งสิ้นไป ชีวิตของเรามันไม่เที่ยง ความตายของเรามันเที่ยงแล้ว ชีวิตของเรามีความตายเป็นที่สุด เราจะต้องตายเป็นแน่ ความตายของเรามันยั่งยืนแล้ว เรามีกรรมเป็นของๆตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราจะทำกรรมอันใดไว้ เป็นบุญหรือเป็นบาป เราจะเป็นทายาท คือว่าจักต้องได้รับผลของกรรมนั้นสืบไป เราทั้งหลายควรพิจารณาอย่างนี้ทุกๆวันเถิด เวลาพลัดพรากจะได้ไม่ทุกข์มาก เพราะมีธรรมมะ แนะนำเรื่องกรรมวิบาก เกี่ยวกับความรัก #เฟซบุ๊กพี่ ตุลย์ ดังตฤณ {www.facebook.com/dungtrin} หรือ www.dungtrin.com กรรมวิบาก แนะนำเสียงอ่านหนังสือ www.jozho.net {www.facebook.com/jozho} ธรรมะดูจิตภาวนา หลวงพ่อปราโมท์ โหลดเพิ่มเติมได้ที่ www.dhamma.com/thdownloads *************************************************************************************** ********************************************************************* ********************************************************** *********************************************** ********************************* ************************** ************* *********** ****** ### ถ้าหากท่านใดมีความคิดว่า อยากจะไรท์แจกคนอื่น" อยากจะให้เขารู้เหมือนเรา" มันน่าสงสาร" เกิดมาตกอยู่ในความไม่รู้ อยากส่งต่อ...ให้เขารู้ นี่แสดงว่าขณะจิตเรา ตอนนี้ใจได้กลายเป็นเทวดาในร่างแบบมนุษย์ไปแล้ว ก็คือเกิดบุญที่ใจแล้ว ใจเป็นบุญแล้ว แต่ถ้าหากลงมือไรท์หรือส่งต่อให้คนอื่น จะกลายเป็นกุศลบารมีสืบต่อขึ้นมาทันที บุญส่งได้ถึงแค่สวรรค์กามภพ แต่กุศลส่งได้ไกลกว่านั้นติดไปหลายภพชาติกว่าบุญ นี้แลคือข้อแตกต่างกัน ระหว่างบุญกับกุศล ส่งเข้ามือถือให้เพื่อนต่อจะกลายเป็นกุศล และถือเป็นธรรมทานบารมีที่ยิ่งใหญ่กว่าให้ทานทั้งปวง เกือบทุกคน บางคนเคยรักษาศีลมาดีแต่ธรรมชาติเกิดใหม่ต้องลืมเรื่องอดีตชาติ ทีนี้โตขึ้นก็สวยก็หล่อกันหลายระดับ แต่ลืมว่าตนทำอะไรมาถึงสวย ไม่รู้สาเหตุทั้งหมดเพราะลืม คิดแค่ว่าคงเป็นใช้ ครีม แป้ง เครื่องสำอาง และพ่อแม่ให้มาแค่นั้น ไม่ได้คิดเลยไปถึงเหตุเก่าที่เคยทำ เพราะความลืม พ่อแม่ไม่ได้มีหน้าที่คลอดเราออกมาให้สวยหล่อ ให้สติปัญญาดี แต่บุญกุศลตางหาก ที่ทำให้เราได้มีโอกาสเข้าไปปฏิสนธิในครรญ์มนุษย์ และพ่อแม่จำพวกแบบนั้น จำพวกพ่อแม่คู่ที่ดี/จำพวกพ่อแม่คู่ที่ดีไม่ดี สภาพแวดล้อมจำพวกที่ดี/ สภาพแวดล้อมจำพวกที่ไม่ดี เกี่ยวข้องกันหมดครับ เหตุปัจจัยมากกว่านี้นี้อีก แต่ที่เป็นสัจจะความจริงเลยคือ กรรมไม่เคยส่งใครไปเกิดผิดที่ที เช่นเรายังไงก็ต้องเกิดกับ พ่อแม่คู่นี้โดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ นี้นี้พอจิตวิญญาณเข้าไปสมานกับก้อนเนื้อ(ไข่)แล้ว ก็เจริญเติบโตขึ้นเพราะอาหารที่แม่กิน จนถึงได้เวลาคลอดโออกมา แล้วก็โตเป็นลำดับๆ ที่นี้ถามว่าความเข้าใจในสิ่งต่างๆ ที่ผู้ปกครองสอนหรือญาติสอน เด็กทุกคนต่างกัน บางคนเข้าใจได้ลึก บางคนพอเข้าใจ บางคนงง นี่ก็คือผลชองสติปัญญา สติปัญญาดีสติปัญญามาก ก็ไม่ได้มาจากพ่อแม่หรือครูหริอใครๆสอนในชาตินี้ชาติเดียวเลย แต่เป็นของเขาที่เคยอบรมมาจากอดีตชาติ บางคนเพื่อนรุ่นเดียวกันแท้ๆ ทำไมฉลาดมีปัญญามากกว่า รู้เข้าใจอะไรๆได้เร็วกว่าเพื่อนทั้งหลาย อันนี้ก็คือผู้เคยให้ความรู้เก่าและให้ความรู้คนไว้มาก ชาติที่แล้วอาจเคยเป็นครูสอนคนไว้มาก ชาตินี้จึงฉลาดหลักแหลมขึ้นกว่าเดิม หรือชาติที่แล้วเคยให้ธรรมทานแก่คนเป็นจำนวนมาก ชาตินี้ก็เลยมีแต่คนที่จะมาให้ความรู้ เกิดมาก็มีป้ายบอกทางที่ดีชี้บอกไว้เลย คือได้เกิดในที่ๆคนจะให้ความรู้ เช่นเกิดเป็นลูกครู ลูกหมอ ลูกคนฉลาด หรือมีญาติที่ฉลาดมาสอนเลยตั้งแต่เด็กๆ ไม่ให้หลงทาง (ผมเคยคิดว่า ชาติก่อนเราเคยให้ธรรมทานความรู้คนไว้มากกหรือเปล่านะ ที่มีสิ่งที่จะให้ความรู้มากมายเลย เกิดมาแม่ก็สอนสวดมนต์ไหว้พระตั้งแต่เด็กๆ ตั้งแต่ต้นทางหรือต้นชีวิตเลย โตขึ้นมาอีกก็มีครูทางธรรมสอนเรื่องธรรมะ อะไรเป็นประโชย์ อะไรไม่เป็นประโชยน์ ในแก่นชีวิตนี่ ปูทางไว้เลย) การทำธรรมทาน แจกผู้อื่น ไม่ได้หมายถึงแค่ธรรมะของพระพุทธเจ้าเท่านั้นนะครับ ธรรม แปลว่า ความรู้ ทาน แปลว่า ให้ คุณๆอาจ เอาดินเหนี๋ยวมาปั่นเป็นแจกัน ปั่นเป็นกระถางต้นไม้ ปั่นเป็นโอ่ง ปั้นเป็นกระปุ๋กออมสิน แล้วคุณเขียนเป็นเล่มหนังสือหรือพิมพ์ผ่านหน้าเฟ๊ชบุ๊กหรือบรรยายพูดสอนให้คนอื่นรู้ได้วิธี วิธีปั้นดินเป็น.. อะไรต่างๆ ก็ตามแต่ แบบนี้ ก็เรียกว่าเป็น ธรรมทาน เช่นกันครับ หรือคุณ แกะสลักผลไม้ เป็นรูปนั้นรูปนี่ แล้วไปสอนคนอื่นต่อ อย่างนี้ก็เรียกธรรมทานเช่นกันครับ แต่จะแตกต่างกันในเรื่อง "ธรรม" ที่จะให้คนอื่นรู้แค่นั้น เช่นผมเอาธรรมะของพระพุทะเจ้ามาเผยแพร่บนเน็ต อย่างนี้ก็เรียกว่า ธรรมะทานครับ ผลจะออกมาคือ ชีวิตในปัจจุบันก็จะรู้เรื่องธรรมะพระพุทธเจ้ามากขึ้น และภพชาติข้างหน้า ก็จะได้มีความรู้แบบนี้มาปรากกให้เรียนรู้ ก็คือให้ความรู้แบบใดแก่ผู้อื่น จะเป็นเหตุให้ความรู้แบบนั้นมาปรากฏที่เรา ทั้งปัจจุบัน และสัมปราภพหน้าต่อ ความรู้แบบพระพุทธเจ้า เป็นไปเพื่อนสิ้นทุกข์หมดทุกข์ เป็นความรู้ที่มีแต่ไปทางเจริญ ส่วนความรู้แบบโลกๆ ที่สอนๆกันอยู่นี้ ที่ออกหนังสือแจกๆกันอยู่นี้ ก็เรียกธรรมทานเหมือนกัน แต่เป็นศาตร์ทางโลก ก็จะให้ผลแก่เราในปัจจุบัน และภพหน้า แต่ศาตร์ทางโลกถึงจะฉลาดในด้านนั้นๆ แต่ถ้าก็ยังทำผิดในสิ่งที่พระพุทธเจ้า เห็นว่าจะไปนรกแน่นอน คือ ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำลายศาสนาสา ทำร้ายพระพุทธเจ้า อันนี้ไปเกิดในนรกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันก็ไม่คุ้มที่จะทำ ศาตร์ทางโลกก็มีประโยชน์แก่เราในการเลี้ยงชีวิต ส่วนศาตร์ของพระพุทธเจ้าเป็นศาตร์มุ่งสอนที่ใจ ดับทุกข์ที่ใจ เป็นศาสตร์ที่ประเสริฐมากที่สุด เป็นศาสตร์สอนให้อยู่ในโลกแบบไม่ทุกข์ และภพชาติหน้าก็ไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้องไปตกนรก ไปเป็นเปตร และ พระพุทธะเจ้าท่านมีญาณยั่งรู้กฏธรรมชาติ อ๋อ... ถ้าฆ่ามารดา ไปเกิดในนรก.." พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้เป็นคนตั้งกฏเกณฑ์ขึ้นมา "ใครฆ่ามารดา จงไปเกิดในนรก.." อย่างนี้ไม่ ท่านเป็นผู้มีญาณยั่งรู้ไปรู้ได้เฉยๆ ไม่ได้เป็นคนสร้างกฏธรรมชาติที่เลวร้ายแบบนี้ขึ้นมาเบียดเบียนใคร ในสองพันปีที่แล้ว ถึงจะไม่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติเกิดในโลก กฏธรรมช่าติทั้งหลาย ก็เป็นไปตามกฏธรรมชาติอยู่ตราบนั้น เป็นอยู่อย่างนั้นตลอด เช่นในกฏนี้ "ฆ่ามารดา ไปเกิดในนรก" แม้จะไม่มีพระพุทธเจ้ามาเกิด คนที่ฆ่าก็ไปเกิดในนรก กฏของธรรมชาตินั้นมีหลายข้อมากๆ ที่พระพุทธเจ้ามีญาณเข้าไปรู้ แล้วได้เอามาบอกมาสอน หรือเรียกอีกอย่้างหนึ่งว่า พระธรรม ซึ่งมันเป็นความรู้ ที่พระองค์เข้าไปรู้เข้าไปเห็น แล้วนำมาบอกสอนสาวกและคนในสมัยนั้น ที่เกิดทันพระองค์ สอนว่า เทวดามีนะ สวรรค์มีนะ นรกมีนะ ภพอื่นๆมีนะ แม้แต่ต้องทำยังไงถึงจะได้ไปภพนั้นภพนี้ ท่านก็บอกได้ เพราะท่านมีญาณยั่งรู้ ทีนี้คนฟังก้อยากพิสูด พระองค์ก็บอกวิธีให้ ต้องทำจิตให้เป้นสมาธิถึงฌานที่สี่ แล้วน้อมจิตไปทิพย์จักขุ(ตาทิพย์) ก็จะเห็นเสิ่งต่างๆเรื่องต่าง สวรค์มี นรกมี ส่วนใครที่บารมีไม่ถึงก็ทำไม่ได้ จบกันนะสิ พิสูดไม่ได้ ต้องโทษที่ตนเอง ที่อดีตชาติถอยหลังไป ไม่สร้างบารมีไว้ให้มาก แต่เรื่องที่พิสูดได้ใน ชาตินี้คือ การภาวนา ยิ่งภาวนากิเลสยิ่งถูกขูดออกเรื่อยๆ จิตมันจะแจ่มใสเบาสบาย กังวลน้อยลง รู้สึกเป็นอิสระจากอารมณ์ทั้งปวงที่เวียนมาให้รู้ คนจนๆผู้ภาวนาเป็นแล้ว เป็นดั่งผู้ได้เสวยสุขทิพย์ในสวรรค์ ถึงจะยังไม่หมดกิเลสเหมือนพระอรหันต์ ก็มีความสุขกว่าคนไม่ภาวนาทั้งหมดเลย พระพุทธเจ้ารู้ทุกอย่างหมด และรู้ด้วยว่าสิ่งที่สุดยอดความรู้ที่มนุษย์ควรรู้ที่สุด ความรู้ิ่อื่นๆยังไม่สำคัญเท่าตัวนี้ ท่านบอกว่า อริยสัจสี่ เป็นสิ่งที่ มนุษย์ เทวดา พรหม ควรรู้ที่สุด ที่สุดของความรู้ ผมจะอธิบายอย่างไรดีหนอ .. เอาเป็นว่า เข้าYoutube พิมพ์ "การได้เกิดเป็นมนุษย์ควรรู้่อะไรมากที่สุด" แล้วค้นหา แล้วก็ฟังนะครับ ส่วนพระธรรม หรือความรู้ที่พระองค์เข้าไปรู้ แล้วมาสอน มนุษย์เทวดา อยู่ที่เว็บนี้ www.84000.org เรียกว่าพระไตรปิฏกครับ ไตรแปลว่าสาม ปิฏกแปล่าว่าตระกร้า ก็คือจะมี3ส่วนครับ 1 วินัยปิฏก เกี่ยวกับวินัยพระครับ 2 สุตันตะปิฏก เกี่ยวกับธรรมะ (แนะนำศึกษาอันนี้) 3 อภิธรรมปิฏก เกี่ยวกับสภาวะจิตเจตสิก ถ้ากำลังนึกอยากศึกษาพระไตรปิฎก ด้วยความปรารถนาจะได้ทราบว่า พระพุทธเจ้าตรัสสอน ตรัสเปิดเผยความจริงอันเป็นสัจจะไว้อย่างไรบ้าง ขอให้ทราบว่านั่นเป็นหนึ่งในเจตนาที่สว่างที่สุดในชีวิตทีเดียว คำสอนของพระพุทธเจ้าที่สืบทอดกันมาเป็นหลักเป็นฐาน อยู่ในคัมภีร์พระ ไตรปิฎกของเถรวาท ซึ่งมีการแปลกันเป็นภาษาต่างๆราวสิบกว่าภาษา สำนวนแปลและวิธีตีความต่างกันบ้าง แม้ภาษาไทยก็มีอยู่หลายสำนวน ถ้า เป็นสำนวนภาษาโบราณก็อาจจะอ่านยากนิดหนึ่ง มือใหม่จึงมักเห็นพระ ไตรปิฎกเป็นคัมภีร์บนหิ้งสูงเกินเอื้อม ทั้งที่จริงหากค่อยๆศึกษาอย่างมีลำดับ ก็จะเห็นว่าพระพุทธเจ้าตรัสสอนอะไรง่ายๆไว้ครึ่งต่อครึ่ง ฉะนั้น นอกจากจะแปลเป็นไทยตรงๆ ยังมีคนไทยที่แตกฉานบาลีหลายท่าน มีกำลังใจถอดความพระไตรปิฎกมาย่อสั้นๆให้อ่านง่ายสำหรับผู้เริ่มต้น เช่น อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ ได้ทำ "พระไตรปิฎก ฉบับ สำหรับประชาชน" ออกมา ซึ่งปัจจุบันมีผู้นำมาเผยแพร่ทางเน็ต ที่ http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/ อาจารย์สุชีพได้นำเนื้อหาที่ท่านคิดว่าสำคัญที่สุดในพระไตรปิฎกมาเป็นตัวตั้งให้ด้วย พออ่านจบก็สามารถเลือกหัวข้อที่เราพอใจไปต่อยอดได้ และถ้าพบว่าสูตรไหนย่อสั้นมากเกินไป ยังไม่จุใจ ก็สามารถใช้ชื่อสูตรในการกูเกิ้ลต่อยอดด้วยฉบับเต็มครับ ต้องต่อเน็ตเข้าเว็บเปิดอ่านนะครับ หรือไม่ก็โหลดเป็นไฟล์หนังสือจากเว็บนี้ครับ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?t=36115%20 หรือ http://www.ebooks.in.th/615/พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน/ หรือไม่ก็โหลดโปรแกรมมาติดตั้งลงคอม ลงสมาตร์โพน ก็โหลดแอพจาก Play store Android หรือโหลดแอพจาก App store ios ครับแล้วแต่ระบบมือถือ พิมพ์ชื่อนี้ลงไปครับ " E-Tipitaka+ (ค้นหาพุทธวจน) " จากนั้นค้นหาแล้วติดตั้งเปิดแอพโลดฐานข้อมูล รอ ..... ครับ #ความเห็นผม ผมว่าเว็บนี้เริ้มต้นได้สวยกว่าครับ แนะนำ http://www.ebooks.in.th/615/พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน/ ****************************************************************** ถ้าหากสงสัย ทักไลน์มาสอบถามได้ครับ id: tum_noza ผมเป็นเด็กวัยรุ่น จบ ม.6 ครับ ตอนนี้ พ.ศ. 2559 อายุ 21 ครับ ชอบเล่นคอมพิวเตอร์ ชอบยุ่งกับเรื่อง ไอที ชอบเรื่องที่ซับซอนๆ สิ่งที่ทำให้หันมาสนใจ ศาสนาคำสอนพระพุทธเจ้า คือ 1.เรื่องรู้วาระจิต ก็คือ พระรูปหนึ่งท่านรู้วาระจิตผม ผมคิดอะไรท่านก็รู้หมด ผมถึงกับอึ่งเลย 2.เรื่องรู้อดีต คือท่านรู้ได้อย่างไรว่า ที่ผ่านมาผมทำอะไร คือผมเข้าไปในห้องน้ำผมทำธุระส่วนตัว ต่างๆ ท่านรู้ได้อย่างไรหนอ บอกถูกเป๊ะเลย 3.เรื่องรู้อนาคต ท่านรู้ได้อย่างไรว่า เลขจะออกตัวนี้ เลขลาวจะออกตัวนี้ ในอนาคตจะมีเรื่องราวแบบนี้นะเกิดขึ้น ซึ่งก็เป็นความจริงเป๊ะเลย ผมก็มาพิจารณาว่า วิชารู้วาระจิตผู้อื่นนี้ มีจริงๆแหะ วิชานี้มาจากไหนหนอ สรุปวิชารู้วาระจิตสัตว์จิตผู้อื่น พระพุทธเจ้าเป็นผู้สอน แสดงว่าพระพุทธเจ้ามีจริง และเรื่องรู้อดีต รู้อนาคต ก็ต้นตอมาจากพระพุทธเจ้า แสดงว่าพระพุทธเจ้ามีจริง ที่พระพุทธเจ้าตรัวไว้ รู้จิตเทวดาจิตพรหม จิตพยายมจิตสัตว์นรก จิตเปตร พวกนี้มันเป็นเรื่องหลังความตายที่เขาว่าไว้ทั้งนั้นเลย แสดงว่า เทวดามีจริง ผีมีจริง เปตรมีจริง นรกมีจริง สวรรค์มีจริง พระพุทธเจ้าก็มีจริงๆ แล้วท่านสอนอะไรหนอ ผมก็พยามศึกษาไปๆ ก็ได้รู้ว่า ถ้ายังไม่ถึงโสดาบัน ยังไม่พ้นนรกถาวร ถ้าอยากพ้นนรกถาวร ต้อง ได้โสดาบัน หลังจากนั้นชีวิตผมก็มีเป้าหมายใหม่ จากที่คิดว่า จะเรียนซ้อมพวกคอมคอมพวกมือถือแล้วออกมาเอาเมีย ใจนี่ก็ได้เปลี่ยนทิศทางใหม่ ต้องโสดาบันก่อน ต้องพ้นอบายนรกก่อน เมียเอาไว้ทีหลัง 55 ถ้าเราตกนรก เมียมันไม่ไปตกด้วยนะ นี้คือความจริง หลังจากนั้นก็ศึกษาคำสอนพระพุทธเจ้า ฟังพระเทศ จากที่ฟังไม่เป็นก็ต้องหัดฟัง นี่วัยรุ่นนะครับ หัดฟังเทศ โอ้ชีวิตผมเปลี่ยนไป ผมฟังเทศเเป็นแล้ว พอฟังเข้าใจมันช่างอยากให้คนอื่นรู้เหมือนเราจังเลย ความรู้สึกที่มีต่อผู้อื่นแบบนี้แหละเป็นเหตุให้เริ่มทำCD และอีกเรื่องคือ ดวงผมไม่เป็นไปตามดวงดาวเลยครับ ในศาตร์โหราศาตร์ เนื่องจากกุศจากการภาวนานั้นมันไปเปลี่ยนดวงให้สว่าง มันช่างสบายใจกับชีวิตที่อยู่คนเดียว แบบไม่มีสิ่งมาผูกพันกาย ไม่มีสิ่งมาผูกพันใจ คืออารมณ์ความทุกข์กังวนร้อนอกร้อนใจต่างๆ นี่แหละครับ สิ่งที่ทำให้ผมสนใจเรื่องศาสนา หลังจากนั้นก็ภาวนาไปด้วย รู้สึกใจสบาย เห็นคุณของพระพุทธเจ้า รักพระพุทธเจ้ามากๆ ๆ ๆ ๆ แม้ชาตินี้จะไม่เคยเห็นท่าน นับถือยกไว้ศรีษะเหนือหัวเลยครับ และสาเหตุที่ผมต้องทำ ซีดี ธรรมะแจกนี้ ตอนแรก มันเกิดจากความสงสาร อยากให้คนอื่นเขาได้รู้ตาม แค่นั้นครับ" #สิ่งที่พิมพ์มาทั้งหมดนี้ เป็นความเข้าใจของผมเป็นความรู้จากการได้อ่านหรือได้ฟังมาได้ศึกษามาจากที่ต่างๆมากมายทั้งสิ้น อาจมีพิมพ์ตก หรือพิมพ์สระพยัญชนะไม่ถูกต้อง หรือผิดพลาดประการใดๆ เกิดการปรามาส พลาดพลั้งโดยมืได้เจตนา ขอจงอดโทษแก่ผู้จัดทำด้วยเทอญ.... สาธุ ************************************************************************ สำหรับผู้ที่ต้องการจะไรท์แผ่นแจกต่อ หรืออยากสร้างกุศลบารมี เนื่องจากแผ่นนี้ได้บีบไฟล์ใหม่ให้มีขนาด 699 MB เพื่อให้ไรท์ง่ายหน่อย ไม่ต้องตั้งค่าโปรแกรม ในข้อ1 ถึง ข้อ5 แต่ให้ทำข้อที่ 6.วิธีไรท์แผ่น" ต่อไปเลย -เพราะช่วงแรกๆที่ผมไรท์ ข้อมูลในแผ่นจะมี 712 MB ซึ่งต้องตั้งค่าโปรแกรมให้มันไรท์เพิ่มได้อีก12 MB ผมไรท์ไปไรท์มา คิดขึ้นมาว่า ควรลดขนาดไฟล์ให้พอดีกับแผ่น ความจุจะได้ถูกตามมาตฐาน และแผ่นจะได้ไม่เสียเร็ว จึงได้ลดคุณภาพเสียงลงหลายไฟล์ เพื่อให้ความจุ 699 MB ให้ใช้โปรแกรม Nero ไรท์น่ะครับ เพราะคิดว่ามันง่ายดี ต้องตั้งค่าให้มันไรท์ได้เพิ่มอีก 10 MB เพราะข้อมูลในแผ่นทั้งหมด 710 MB (จะสอนทั้งภาษาEnglish) และ (ภาษาไทย) 1.ให้เข้าโปรแรม Nero ที่อยู่หน้าจอเลยครับ แล้วเลือก Nero Express" หรือจะเข้าโปรแกรมแบบข้อที่สองก็ได้เหมือนกันครับ 2.ให้เข้า Start >> All Progarm >> Nero >> Nero 2014 >> Nero Burning ROM >> แล้วเลือก Nero Express" 3.แล้วให้คลิก "สามเหลี่ยม" < เล็กๆที่ชี้ไปทางซ้าย 4.แล้วคลิก Options แล้วเราก็จะคลิกที่ [Expert Features] หลังจากนั้นให้เราติ๊กใส่เครื่องหมายถูกหน้า [_]"Enable generation of shot lead-out" 5.แล้วคลิก Apply แล้วคลิก OK เป็นอันว่าตั้งค่าโปรแกรมเรียบร้อย 6. วิธีไรท์แผ่น ให้เข้า Start >> All Progarm >> Nero >> Nero 2014 >> Nero Burning ROM >> แล้วเลือก Nero Express" ให้เราไรท์แบบ DATA CD" เราคลิก DATA CD ครับ (อย่าเลือก CD Audio เพราะมันจะไรท์ไม่ได้) ให้เลือก DATA CD นะครับถูกแล้ว แล้วเราก็จะเจอหน้าว่างๆขาว ให้เรา ลากโฟรเดอร์มาใส่เลยครับ 01.รักแท้มีจริง 02.หมวดความรัก 03.หมวดพัฒนาตนเอง 04.เกมกรรม 05.การปฏิบัติธรรมภาวนา 7.พอลากมาใส่เสร็จแล้ว ก็ให้คลิกNext และคลิกBurn หลังจากนั้นโปรแกรมจะให้เรายืน เราก็คลิกOk เป็นอันว่าเสร็จ #### สำรับNero ภาษาไทย 1.ให้เข้าโปรแรม Nero ที่อยู่หน้าจอเลยครับ แล้วเลือก Nero Express" หรือจะเข้าโปรแกรมแบบข้อที่สองก็ได้เหมือนกันครับ 2.ให้เข้า Start >> All Progarm >> Nero >> Nero 2014 >> Nero Burning ROM >> แล้วเลือก Nero Express" 3.แล้วให้คลิก "สามเหลี่ยม" < เล็กๆที่ชี้ไปทางซ้าย 4.แล้วคลิก "ตัวเลือก" แล้วเราก็จะคลิกที่ "คุณสมบัติผู้เชี่ยวชาญ" หลังจากนั้นให้เราติ๊กใส่เครื่องหมายถูกหน้า [_]"กำหนดการทำงานการสร้างชอร์ตลีด-เอาต์" 5.แล้วคลิก Apply แล้วคลิก OK เป็นอันว่าตั้งค่าโปรแกรมเรียบร้อย 6. วิธีไรท์แผ่นให้เข้า Start >> All Progarm >> Nero >> Nero 2014 >> Nero Burning ROM >> แล้วเลือก Nero Express" ให้เราไรท์แบบ "CD ข้อมูล" เราคลิก CD ข้อมูล เลยครับ (อย่าเลือก CD เพลง เพราะมันจะไรท์ไม่ได้) ให้เลือก CD ข้อมูล นะครับถูกแล้ว แล้วเราก็จะเจอหน้าว่างๆขาว ให้เรา ลากโฟรเดอร์มาใส่เลยครับ 01.รักแท้มีจริง 02.เกมกรรม 03.หมวดกรรมวิบากความรัก 04.หมวดพัฒนาตนเอง 05.การปฏิบัติธรรม 7.พอลากมาใส่เสร็จแล้ว ก็ให้คลิก "ถัดไป" และคลิก "เบิร์น" หลังจากนั้นโปรแกรมจะให้เรายืน เราก็คลิก" ตกลง" เป็นอันว่าเสร็จ #หมายเหตุ ผมใช้ Nero เวอร์ชั่น 2014 ครับ ท่านอาจจะใช้เวอร์ชันอื่น คำสั่งก็จะคล้ายๆกันครับ จุดหมุ่งหมาย ************ **** ************************* ******* ************************************ ************ ********************************************* *************** ************************************************************ ****************** *** **************** ***** ********************* *********** *************** ****** ************ ********** ***************** ******************* ********************* ************************** **** **** กับดัก หรือตัวล่อให้ออกจากเส้นทาง ************************** ********* ***** ***************************** *********** **************************** **** ************ ****************************** ******************* *********************************** **** ******************* ****** **************************************** ////////*********************** ********* กับตัก หรือตัวล่อให้ออกจากเส้นทาง ********************************** **** ***************************** ******* ***** ****** *********************** *********************************** ************************************************* --******** ************************************ ************************************************* *** **** **** กับตัก หรือตัวล่อให้เสียเวลา ******************************************* -*** ---- ************************** **** ****************************** ********************************************* ************************************ ********************************************* ************************************* ******************************************** **************************** *************************************************** ************************* ********************************************************** ******************** *********************************************************************************** ************************ ****************************************************************************** **************************** ****************************************************************************** ******************************** ******************************************************************************* *********************************** ****************************************************** ( 0 ) <------ <----- <------- <------ ทุกคนที่ประสพความสำเร็จล้วนแล้วมาจาก จุดเริ่มต้น (Start) ผู้ที่ตั้งเป้าหมายว่า จะเป็นครู หรือตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นอะไรก็ตาม แล้วออกเดินทาง ก็จะมีตัวล่อให้เราไปถึงช้า หรือให้เราหักเหออกจากเส้นทาง หรือให้เราหลงป่ากลับมาไม่ได้เลย ยกตัวอย่างสำหรับผมนะครับ มีตัวล่อมากมายให้ไปถึงความสำเร็จช้า คือ หนัง ผมเป็นคนชอบดูหนังมาก และเกม และเที่ยวแบบตามใจเพื่อนทั้งที่ไม่เต็มใจไม่ได้ประโยชน์ไม่ได้ความเจริญขึ้นเลยแต่ก็ไป และเรื่องผู้หญิงเรื่องความรัก และเรื่องสร้างตัณหาต่างๆให้ตนเอง...ช้าเอง.. อันนี้ผมไม่ได้ว่าให้ใครน่ะครับ อันนี้คือปัญหาของผมที่ทำให้ช้าครับ ผู้ที่จะไปถึงเป้าหมายได้เร็ว ต้องมี4คุณธรรมนี้ จะไปถึงได้เร็ว 1.ต้องมีความชอบใจ 2.ต้องมีความขยันในสิ่งนั้นๆเรื่องนั้นๆ 3ต้องส่งใจไปในสิ่งนั้นๆเรืองนั้นๆ 4.เค้นปัญญาออกมาพิจารณา อันนี้คือธรรมะของพระพุทธเจ้าสอนไว้ครับ ***********************************************************************************************************************************************Love
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น